วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ฝังเข็ม...แบบไร้เข็ม




การฝังเข็ม... ศาสตร์การรักษาโรคที่ก่อกำเนิดมานานนับพันปี สามารถใช้รักษาได้ผลดีในหลายโรค ดังที่เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายทราบกัน อาทิ อัมพาต, อัมพฤกษ์, อัมพาตครึ่งท่อน, อัมพาตประสาทใบหน้า, โรคภูมิแพ้, โรคเหน็บชา, ปวดศีรษะไมเกรน, ปวดต้นคอ, ปวดหลัง, ปวดเอว, ปวดข้อต่างๆ, เวียนศีรษะ, หมอนรองกระดูกสันหลังกดเส้นประสาท, ผมร่วง เป็นต้น

ปัจจุบันการฝังเข็มได้พลิกโฉมสู่ความล้ำสมัยมากขึ้น เมื่อวงการแพทย์ได้นำเลเซอร์สุดยอดเทคโนโลยีมาใช้แทนเข็ม แต่ยังอิงหลักการฝังเข็มแบบเดิมเอาไว้

หลักการทำงานของการฝังเข็มโดยใช้เครื่องเลเซอร์

* ใช้หลักการเดียวกับการฝังเข็ม แต่ใช้แสงเลเซอร์แทนเข็ม

* แสงเลเซอร์จะเข้าไปจี้ตามจุดและเส้นต่างๆ ที่เป็นตำแหน่งในการฝังเข็มก่อให้เกิดผลต่างๆ ตามมาหลายอย่าง อาทิ

- ปรับการทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆ ที่เสียสมดุลไปให้กลับสู่สภาพปกติ

- ช่วยยับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติต่างๆ

- ปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ไวเกินยับยั้งปฏิกิริยาการอักเสบ เป็นต้น

จุดเด่นของการฝังเข็มโดยใช้เลเซอร์

1. ไม่ได้ใช้เข็มจริง จึงเหมาะสำหรับคนไข้บางรายที่กลัวการติดเชื้อ กลัวเข็ม และกลัวเจ็บ

2. เครื่องเลเซอร์ฝังเข็ม จะมีหน้าปัดแสดงค่าตัวเลขให้ทราบถึงการปรับพลังงาน ณ จุดใดๆในร่างกาย จนกระทั่งเกิดความสมดุลขึ้น จึงมีความแม่นยำในการรักษา

3. ใช้แสงเลเซอร์ที่มีพลังงานต่ำ จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย

4. ใช้เวลารักษาช่วงสั้นๆ ประมาณ 10 วินาที - 2 นาที ขึ้นกับบริเวณและดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา

5. แพทย์ที่ทำการรักษามีความรู้เกี่ยวกับวิธีการฝังเข็ม และเข้าใจถึงการทำงานของจุดฝังเข็มในร่างกายเป็นอย่างดี

การฝังเข็มโดยใช้เลเซอร์ สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ผลดี อาทิ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อ ข้อเกร็ง ข้อยึดติด เอ็นอักเสบ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีข้อพึงระวังในผู้ที่ตั้งครรภ์ และไม่เหมาะที่จะใช้เลเซอร์ในบริเวณที่เป็นมะเร็ง ติดเชื้อ หรือมีแผล ในกรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

แม้การฝังเข็มโดยใช้เลเซอร์จะมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้ป่วยควรเลือกรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทั้งก่อนและหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลการรักษามีความปลอดภัยสูงสุด

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

คำตอบจากแพทย์


อันตรายของหัดเยอรมัน

Q : ดิฉันอยากทราบว่าโรคที่ไมมีอันตรายร้ายแรงอย่างหัดเยอรมัน ทำไมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในขณะตั้งครรภ์ ?

A : ปกติหัดเยอรมันเป็นโรคที่ไม่มีอันตราย ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 3-4 วัน แต่ถ้ามารดามีการติดเชื้อโรคนี้ในระหว่างตั้งครรภ์จะเกิดผลรุนแรงต่อทารกได้นั่นคือ ทารกที่เกิดมาจะมีโอกาสมีความพิการแต่กำเนิด (Congenital Malformation) ได้ครับ

ความพิการที่พบ อาทิ การเป็นต้อกระจกหรือต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการหรือ ผนังหัวใจรั่ว มีผื่นเลือดออก ตับม้ามโต สมองพิการ น้ำหนักตัวน้อย มีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ หรืออาจเกิดการแท้งตายหลังคลอด

การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การฉีดวัคซีนในสตรีก่อนแต่งงานที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ ซึ่งภายหลังฉีดวัคซีนจะต้องคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือนจึงจะปล่อยให้ตั้งครรภ์ได้ การฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันจะให้ภูมิคุ้มกันได้นานถึง 10 ปีครับ

Approved by : นพ.อำนาจ เตโชวณิชย์








ฝ้า...ต้นเหตุหน้าหมองคล้ำ

Q : ดิฉันมีปัญหากลุ้มใจอยากเรียนปรึกษาคุณหมอดังนี้ค่ะ ดิฉันมีฝ้าขึ้นบริเวณโหนกแก้มสองข้าง อยากทราบวิธีรักษาที่ถูกต้อง ดิฉันไม่กล้าไปซื้อยามาทาเองกลัวผิวหน้าจะเสียค่ะ รบกวนคุณหมอช่วยไขข้อข้องใจให้ดิฉันด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ ?

A : คุณทำถูกต้องแล้วค่ะที่ไม่ซื้อยาที่มีขายในท้องตลาดมารักษาเอง เพราะฝ้าเป็นปัญหาที่ควรได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะด้านผิวหนังเท่านั้น โดยปกติการรักษาฝ้าถ้าจะให้ได้ผล แพทย์จะต้องทราบปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า จากนั้นจึงจะพิจารณายาที่ใช้ ทั้งในแง่ฤทธิ์ของยาที่เหมาะสมกับคนไข้และผลข้างเคียงจากยา เนื่องจากการรักษาฝ้าให้ได้ผลดีนอกจากจะทำให้ฝ้าหายแล้ว ต้องทำให้ผิวหน้าเป็นปกติอยู่เหมือนเดิม โดยไม่เกิดผลข้างเคียงด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม การรักษาฝ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับยาที่ใช้รักษาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากปัจจัยการเกิดฝ้าสัมพันธ์กับแสงแดดอย่างชัดเจน ถ้าเมื่อไรที่เราหลีกเลี่ยงแดดได้ฝ้าก็จะเกิดน้อย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ก็ควรป้องกันไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เช่น การทาครีมกันแดด กางร่ม หรือใส่หมวก รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยอื่นๆ เช่นการรับประทานยาคุมกำเนิด การใช้เครื่องสำอางบางชนิด เป็นต้น ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้โอกาสที่จะถูกฝ้าเล่นงานให้หงุดหงิดหัวใจก็น้อยลงหรือแทบไม่มีค่ะ



ตื่นมา...ตาก็สวย...ด้วยการทำตา 2 ชั้น




ดวงตาสองชั้นกลมโตมีเสน่ห์ชวนมอง ด้วยเหตุนี้การผ่าตัดทำตาสองชั้นจึงยังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง จริงๆ แล้ว การผ่าตัดทำตาสองชั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่มีตาชั้นเดียวอย่างที่หลายท่านมักเข้าใจกัน คนที่มีหนังตาตก หรือคนที่ไม่พอใจในชั้นตาที่มีอยู่ก็สามารถแก้ไขให้มีตาสองชั้นสวยใส ได้ แถมการผ่าตัดยังไม่ยุ่งยากและปลอดภัย จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาของสาวๆ หนุ่มๆ ยุคนี้ไปเสียแล้ว

แต่ถึงจะเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าคนที่จะทำตาสองชั้นยังต้องวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนผ่าตัด เริ่มจากปรึกษาและสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อประกอบการตัดสินใจอีกครั้ง ถ้าแน่ใจแล้วขั้นตอนต่อมาที่สำคัญมากก็คือ แพทย์จะพิจารณาลักษณะของหนังตาเดิมและสอบถามถึงความต้องการของคนไข้ว่าต้องการชั้นตาลักษณะไหน กว้างขึ้นเท่าไร เพราะความต้องการและคาดหวังของคนไข้กับแพทย์อาจไม่ตรงกัน จึงต้องคุยให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน หลังจากนั้นแพทย์จะจัดลักษณะของชั้นตาใหม่หลังผ่าตัดให้คนไข้ดูก่อน (โดยใช้ไม้เล็กๆ คล้ายไม้จิ้มฟันช่วยในการจัด) จนกว่าจะตรงกับความต้องการของคนไข้

จากนั้นแพทย์จะพิจารณาลักษณะของชั้นตาและเปลือกตาของคนไข้ว่ามีลักษณะบางหรือหนา หากมีเปลือกตาหนาจากไขมันสะสมจนทำให้หนังตาตกมาปิดหรือรบกวนการมองเห็น ก็ต้องขจัดไขมันส่วนเกินดังกล่าวออกด้วย

การผ่าตัดทำตาสองชั้นเป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาไม่นาน หลังการผ่าตัดคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลยโดยไม่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาล แต่การใช้สายตาอาจยังไม่สะดวกนัก จึงไม่ควรขับรถมาด้วยตัวเอง นอกจากนั้นควรนำแว่นตากันแดดติดตัวมาด้วย เพื่อใช้อำพรางดวงตาหลังการผ่าตัดและป้องกันฝุ่น

โดยทั่วไป การผ่าตัดทำตาสองชั้น มีด้วยกันสองวิธี วิธีแรกเป็นการผ่าตัดโดยการกรีดชั้นของหนังตา วิธีนี้แพทย์จะใช้มีดผ่าตัดหรือแสงเลเซอร์ กรีดเปิดผิวหนังตาตั้งแต่หัวตาไปจนถึงหางตา ตำแหน่งของรอยกรีดโดยมากจะเป็นตำแหน่งของชั้นตาที่คนไข้ต้องการ อย่างไรก็ตามแพทย์มักนิยมผ่าตัดแบบธรรมดาด้วยมีดผ่าตัดร่วมกับการใช้ปลายเข็มไฟฟ้าที่มีปลายคมมากกว่าครับ ส่วนการกรีดลงบนผิวหนังที่เปลือกตาจะยาวมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่เทคนิคการผ่าตัด รวมทั้งปริมาณผิวหนังและไขมันที่ต้องการเอาออก เมื่อแพทย์เย็บปิดแผลที่กรีดดังกล่าว ก็จะสร้างชั้นหนังตาขึ้นใหม่เป็นตา 2 ชั้นครับ

ส่วนวิธีที่สองคือ การเย็บชั้นโดยไม่ต้องกรีดหนังตา วิธินี้ใช้สำหรับคนที่มีลักษณะเปลือกตาชั้นเดียวที่ไม่มีไขมันมากและหนังตาไม่หย่อนตกลงมากเกินไป เพราะไม่สามารถเอาไขมันและผิวหนังส่วนเกินออกไปด้วยได้ วิธีการก็เพียงแต่เย็บรอยไหมเข้าไปที่เปลือกตา อาจจะเป็นสองจุดหรือสามจุดก็ได้ ข้อด้อยของวิธีนี้ก็คือ มีโอกาสที่ไหมที่ร้อยไว้จะหลุดได้ หรือบางครั้งจะเป็นจุดบุ๋มอยู่ช่วงหนึ่งทำให้ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ส่วนข้อดีก็คือ มีอาการบวมไม่มากนัก และไม่ต้องคอยระวังเรื่องแผลมากเนื่องจากเป็นจุดเย็บที่เปลือกตาเท่านั้น

โดยปกติการผ่าตัดทำตาสองชั้นจะใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาที ก่อนการผ่าตัดแพทย์อาจจะให้คนไข้รับประทานยาคลายกังวล จากนั้นจึงฉีดยาชาบริเวณหนังตาด้านบนเพื่อไม่ให้คนไข้รู้สึกเจ็บในระหว่างผ่าตัด ต่อจากนั้นแพทย์จะแบ่งชั้นเปลือกตาตามตำแหน่งที่วัดไว้ หรือตามความต้องการและความเหมาะสม หากมีไขมันส่วนเกินที่บริเวณเปลือกตาก็จะตัดไขมันและผิวหนังเปลือกตาที่บริเวณนั้นออกบางส่วน ปกติรอยมีดที่กรีดจะสูงประมาณ 5 มิลลิเมตรหรืออาจมากกว่านั้นหากคนไข้ต้องการชั้นตาหนาใหญ่ จากนั้นจะเย็บกล้ามเนื้อที่ยกเปลือกตา แล้วดึงผิวหนังตาให้พับตัวขึ้นกลายเป็นสองชั้นตามต้องการ

แพทย์จะทำการเย็บบริเวณที่กรีดด้วยไหมเส้นเล็กมากเพื่อให้เห็นรอยเย็บน้อยที่สุด เมื่อแผลหายรอยแผลจะถูกซ่อนอยู่ในชั้นตาที่สร้างขึ้นใหม่ จึงมองไม่เห็นเวลาลืมตาตามปกติ หลังการผ่าตัดคนไข้ต้องนอนพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้

ภายหลังทำตาสองชั้น ในช่วง 2 วันแรกควรประคบเย็น (บรรจุน้ำแข็งถุงพลาสติกแล้วหุ้มด้วยผ้าขนหนูอีกชั้นหนึ่ง) ที่บริเวณหน้าผากและรอบดวงตาบ่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการบวมและช่วยห้ามเลือดซึม หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงให้เริ่มทายาขี้ผึ้งเคลือบที่บริเวณแผลตรงเปลือกตา รับประทานยาแก้อักเสบและยาลดบวมตามที่แพทย์จัดให้ หากมีอาการปวดก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ หลังการผ่าตัด 3 วันจึงค่อยล้างหน้าตามปกติแต่ควรใช้น้ำอุ่นเพื่อจะได้ล้างทำความสะอาดใบหน้าได้ง่ายขึ้น หากต้องการทำความสะอาดแผลบริเวณดวงตา ให้ใช้สำลีก้อนชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ แล้วค่อยทายาครีมหรือขี้ผึ้งยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์จัดให้ ปกติแพทย์จะนัดตัดใหม่ประมาณ 5 - 7 วันหลังผ่าตัดครับ

ในกรณีที่คนไข้ใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ควรเปลี่ยนไปสวมแว่นตาแทนในช่วงสัปดาห์แรก หรือจนกว่าจะหายบวม เพราะการดึงเปลือกตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์อาจทำให้แผลผ่าตัดที่เย็บไว้เปิดแยกจากกันได้

โดยทั่วไป อาการบวมจะมีอยู่ประมาณ 3 วันและจะเริ่มยุบบวมในวันทื่ 4 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่สภาวะปกติในสัปดาห์ที่ 4 ทีนี้ก็จะเห็นชั้นดวงตาที่สวยงาม แต่ตัวคนไข้นั้นสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติหลังจากผ่าตัดไปแล้ว 3 วันครับ

สำหรับผลข้างเคียงในการทำตาสองชั้นก็อาจพบได้บ้าง เช่น มีอาการฟกช้ำบวมถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้ในการผ่าตัดทั่วไป แต่ถ้าคนไข้ดูแลอย่างถูกต้อง เพียงแค่ 2 - 3 สัปดาห์ รอยฟกช้ำก็จะหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอยให้สังเกตได้ ส่วนอีกเรื่องคือ ชั้นตาไม่เท่ากัน โดยทั่วไปหลังการผ่าตัดในระยะแรกอาจจะมีการบวมที่ไม่เท่ากันทำให้ชั้นตาดูต่างกันหรือสูงไม่เท่ากันได้ คนไข้จึงต้องใจเย็นๆ รอจนอาการบวมยุบหายเป็นปกติก่อนจึงจะได้ชั้นตาที่เท่าๆ กันและสวยสมใจ

หลังการทำตาสองชั้น ชั้นตาจะอยู่กับคนไข้ตลอดไป ในทางการแพทย์พบได้ไม่บ่อยนักว่าชั้นของตามีการเลือนหายไป แต่ถ้าเป็นขนาดของชั้นตาเล็กลงล่ะก็มีโอกาสพบได้ครับ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น หรือจากความหย่อนยานของผิวหนังเปลือกตา ร่วมกับการหย่อนลงของส่วนอื่นๆ เช่น คิ้ว หน้าผาก เป็นต้น แต่ก็ต้องใช้เวลานานหลายๆ ปี หรือ หลายสิบปีขึ้นไป

คราวนี้คุณก็จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ด้วยตาสองชั้นที่กลมสวย เชื่อว่ายังไงๆ ตาสองชั้นก็ไม่มีวันตกยุคตกสมัย


อำพรางสัดส่วน...เสริมความมั่นใจ



คุณผู้หญิงที่มีรูปร่างไม่สมส่วน ถึงจะสวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อแพงๆ ตัดเย็บอย่างดี ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ดูดีขึ้นได้ ในฉบับนี้เรามีเทคนิคการอำพรางรูปร่างในส่วนที่ไม่ต้องการให้เป็นเป้าสายตามาฝากค่ะ

- ลดขนาดต้นแขนด้วยเสื้อแขน 3 ส่วน ถ้าคุณมีต้นแขนใหญ่ การใส่เสื้อแขนกุด โทนสีอ่อน จะยิ่งเน้นให้ต้นแขนดูใหญ่ขึ้น วิธีแก้คือ ให้ใส่เสื้อแขน 3 ส่วน ปกปิดต้นแขนของคุณไว้

- หน้าอกเล็กลงด้วยเสื้อสีเข้ม ผู้หญิงที่มีหน้าอกโตแล้วยังใส่เสื้อหลวมๆ สีอ่อนมีลายยาวเป็นทาง แถมยังใส่กระโปรงสีเข้มอีก สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไปเน้นความใหญ่ของหน้าอก ที่ถูกต้องควรสวมเสื้อที่มีสีเข้ม ยิ่งเป็นสีดำยิ่งดี เสื้อที่ว่าไม่ต้องมีลายอะไรไม่ว่าลายทางยาวหรือทางขวาง ที่สำคัญต้องเป็นเสื้อที่รัดรูป ใส่คู่กับกระโปรงสีอ่อนๆ ทั้งหมดนี้ช่วยซ่อนรูปและพรางตาให้หน้าอกมีขนาดเล็กลง

- ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่ ควรเลี่ยงกางเกงหลวมๆ สีอ่อนๆ ที่จะเน้นความใหญ่ของก้นให้สวมกางเกงรัดรูปสีเข้มๆ หรือ สีดำจะดีกว่า จะพรางตาให้ดูเหมือนว่าก้นคุณไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ถ้าใส่สีเข้มทั้งเสื้อและกางเกงแล้วดูไม่ค่อยสดใส่ก็อาจใส่เสื้อสีโทนร้อนแรง เพื่อเพิ่มสีสันขึ้นก็ได้

- ผู้หญิงที่มีช่วงขายาวและเล็กหรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "ขาตะเกียบ" มักมีปัญหาเวลาสวมกระโปรงสั้นแค่เข่า ยิ่งถ้ากระโปรงนั้นมีสีดำด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเน้นความเล็กและยาวของขา ทางแก้คือให้หากระโปรงยาวเลยเข่าสีโทนอ่อน เช่น สีขาว สีเทา สีครีมมาใส่ โทนสีอ่อนๆ สามารถอำพรางให้ดูเหมือนว่าคุณมีช่วงขาที่สมส่วน ถ้าได้ใส่เข้าคู่กับรองเท้าบู๊ตยาวประมาณเข่า ก็จะช่วยปิดบังท่อนขาช่วงล่างของคุณทำให้ดูดีขึ้นอีกเป็นกอง

เทคนิคการแต่งตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่คนมักมองข้ามเหล่านี้ จะช่วยอำพรางหุ่นที่ไม่สมส่วนของคุณได้ ลองหยิบไปเป็นไอเดียในการแต่งตัวคราวต่อไปดูนะคะ

ระวังโรคตา...คนออฟฟิศ



คนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกัน
วันละหลายๆ ชั่วโมงเสี่ยงต่อการเป็นโรคตา
ที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม
(Computer Vision Syndrome)อาการคือ
ปวดเบ้าตา ปวดต้นคอ มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา
มีภาวะตาแห้ง หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา เป็นต้น
การป้องกันให้ปฏิบัติดังนี้
- ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะ
- อย่าเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ
- ควรพักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ
- ถ้ารู้สึกสายตาอ่อนล้าอย่าขยี้ตาให้นวดคลึงเบาๆ
และบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด
ด้วยการกลอกตาไปมา-เป็นวงกลมหลายๆ รอบ เป็นต้น
ข้อปฏิบัติง่ายๆ ที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง...ทำให้เคยชินเพื่อดวงตาของคุณค่ะ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

4 สเต็ปคืนความสดชื่น




ท่านผู้อ่านที่คร่ำเคร่งกับงานเสียจนดวงตาเริ่มอ่อนล้า ไร้แววสดใส แถมใบหน้าก็หมองคล้ำ ไร้เลือดฝาด เรามาลองพักงานสัก 5 นาที มาฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วย 4 สเต็ปการนวดนี้

1. รวบผมหรือใส่ที่คาดผมเพื่อเปิดหน้าผาก ล้างมือให้สะอาด จากนั้นยืนหน้ากระจกเพื่อให้เห็นตำแหน่งในการนวดชัดเจน หายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง แล้ววางนิ้วทั้งสี่ของมือขวาอีกครั้ง (ยกเว้นนิ้วโป้ง) ไว้บนหน้าผาก ให้นิ้วก้อยอยู่ระดับคิ้ว นิ้วทั้งสี่ของมือซ้ายวางต่อขึ้นไป จากนั้นค่อยๆ กดน้ำหนักที่ปลายนิ้วแล้วนวดไล่ขึ้นไปตรงๆ นวดสลับมือซ้ายและขวา 20 ครั้ง

2. วางปลายนิ้วทั้งสี่ (ยกเว้นนิ้วโป้ง) ของมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าผาก โดยให้นิ้วก้อยอยู่ระดับคิ้ว นิ้วชี้อยู่ระดับไรผม จากนั้นกดน้ำหนักลงที่ปลายนิ้วแล้วค่อยๆ ลากมือทั้งสองออกด้านข้างจนถึงขมับ โดยให้ลากช้าๆ เน้นการลงน้ำหนักไปบนผิวหนังตลอดการลากมือ ทำซ้ำแบบเดิม 20 ครั้ง

3. วางนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือซ้ายลงบนหน้าผากโดยให้นิ้วทั้งสองห่างกันเล็กน้อย ส่วนมือขวาให้ใช้นิ้วกลางเพียงนิ้วเดียววางไว้ที่กึ่งกลางหน้าผาก จากนั้นกดน้ำหนักลงที่ปลายนิ้วแล้วค่อยๆ ลากนิ้วทั้งสามจากกึ่งกลางหน้าผากออกไปด้านข้างจนถึงขมับแล้วดันนิ้วกลับมายังกึ่งกลางหน้าผากดังเดิม ทำสลับเช่นนี้ 20 ครั้ง

4. วางนิ้วกลางและนิ้วนางมือขวาลงบนหว่างคิ้ว หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหัวไหล่และแผ่นหลัง แล้วเริ่มวนนิ้วทั้งสองเป็นวงกลม วนไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ในแนวตรงจนถึงไรผมแล้วไล่กลับมายังหว่างคิ้ว ทำสลับเช่นนี้ 20 ครั้ง

เพียง 5 นาที กับ 4 สเต็ปการนวด ก็จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ดวงตากลับมาสดใส ใบหน้าสดชื่นสมองกลับมามีพลัง พร้อมลุยงานต่อแล้ว

ไฮเปอร์แบริก Hyperbaric



...รักษาสมองและร่างกาย ด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100%

"เมื่อการรักษา...ไม่ได้ขีดวงจำกัดในแนวทางเดิมๆ

ผู้คนจึงมีหนทางเลือกมากขึ้น"







คำว่า ไฮเปอร์แบริก (Hyperbaric) น่าจะเป็นคำที่ไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยสักเท่าไหร่ ด้วยเป็นแพทย์ทางเลือกที่ยังถือว่าใหม่สำหรับบ้านเราอยู่มาก




แต่ถึงจะเป็นเรื่องใหม่ก็อยากให้ทำความรู้จักไว้ค่ะ เพราะการทดลองรักษาเป็นเวลากว่า 10 ปี ในวงการแพทย์ทั่วโลก เช่น ประเทศอเมริกา แคนนาดา อังกฤษ ฯลฯ ไฮเปอร์แบริก มีผลต่อการรักษาโรคต่างๆ หลายโรค จึงอาจเป็นทางเลือกในการรักษาสำหรับคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ ได้

ผลการรักษาที่น่าสนใจเห็นควรหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังสำหรับการรักษาด้วย ไฮเปอร์แบริก น่าจะเป็นผลการรักษาของแพทย์ในหลายๆ ประเทศ และผลการวิจัยของ American College of Hyperbaric Medicine พบว่า เด็กผิดปกติทางสมอง CP (Cerebral Palsy) เด็กสมองพิการจากขาดออกซิเจนหลังคลอด ที่รักษาด้วย ไฮเปอร์แบริก มีการพัฒนาที่ดีขึ้นค่ะ

ผลที่ว่านี้คนทั่วไปฟังดูอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่สำหรับพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ที่ต้องดูแลบุตรหลานที่มีปัญหาเหล่านี้ คงจะมีความรู้สึกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

ก็อย่างที่ทราบๆ กัน สมองเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญ สมองเป็นศูนย์กลางของความฉลาด เป็นอวัยวะที่แปลสัญญาณของเส้นประสาท และกระตุ้นให้ร่างกายเคลื่อนไหว เช่น นั่ง ยืน เดิน วิ่ง รวมทั้งควบคุมความรู้สึกนึกคิด และการเรียนรู้ ตลอดจนการเติบโตของร่างกาย ซึ่งในเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่า มีความผิดปกติทางสมอง หรือพิการทางสมองนั้น จะไม่สามารถเติบโตได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป มีปัญหาในการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้ออ่อนแรง งุ่มง่าม เคลื่อนไหวช้า การทรงตัวไม่ดี บางรายอาจมีความบกพร่องอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น บกพร่องการได้ยิน การมองเห็น การเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งในอดีต พ่อ แม่ หรือ ผู้ปกครองของเด็กๆ เหล่านี้ไม่มีโอกาสเลือกช่องทางอื่นๆ ในการรักษาให้แก่บุตรหลานของตนมากนัก การรักษาด้วย ไฮเปอร์แบริก จึงเป็นทางเลือกของแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ที่เข้ามาเป็นความหวังในการรักษาบุตรหลานของตนให้ดีขึ้น

แล้ว ไฮเปอร์แบริก คืออะไร ช่วยรักษาเด็กที่มีความผิดปกติทางสมองให้ดีขึ้นอย่างไร หรือมีผลดีต่อการรักษาต่างๆ อย่างไร เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน

ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จักแพทย์ที่คิดค้นการรักษาด้วยวิธีนี้กันก่อนค่ะ วงการแพทย์ได้อุทิศความดีและการเสียสละนี้ให้แก่ Dr. Richard A. Neubauer, M.D แพทย์ผู้นำในด้านการศึกษาค้นคว้าวิจัยในการรักษาเด็กผิดปกติทางสมอง CP (Cerebral Palsy) และสมองพิการ ด้วย Hyperbaric Oxygen จนเป็นที่ยอมรับและได้เผยแพร่การรักษาด้วยวิธีนี้ไปทั่วโลก

ที่นี้มาดูว่า ไฮเปอร์แบริก ที่เกริ่นมาเสียยืดยาว คืออะไร? กันค่ะ




ไฮเปอร์แบริก คือ การรักษาของแพทย์อีกวิธีหนึ่ง ด้วยการให้ผู้ป่วยหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์(100%) ภายใต้ความกดบรรยากาศที่สูง ภายในห้องปรับอากาศ เรียกว่า HBOT (Hyperbaric Oxygen therapy) โดยการรักษาด้วยวิธีนี้จะทำให้ออกซิเจนซึมเข้าสู่สมอง, เลือด, พลาสม่า, กล้ามเนื้อ และน้ำในไขกระดูกสันหลังมากขึ้น

การรักษาด้วยวิธีนี้ไม่มีขั้นตอนอะไรยุ่งยาก แพทย์จะให้ผู้ป่วยหายใจรับออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ในเครื่อง Hyperbaric Chamber ซึ่งเป็นการรักษาแบบไม่กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย แพทย์จะให้คนไข้นั่งหรือนอนกับคุณแม่หรือคุณพ่อในห้อง Hyperbaric Chamber ครั้งละ 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย สะดวก และเรียบง่าย ในบรรยากาศที่ครอบครัวนั่งร่วมกันในขณะที่รักษา เห็นมั้ยคะว่า ไม่มีอะไรน่ากลัว หรือยุ่งยากเลย

ว้า...หน้ากระดาษหมดพอดี เห็นทีจะต้องยกเรื่องประโยชน์ของการรักษาด้วยไฮเปอร์แบริกไปต่อกันในฉบับหน้าแล้วล่ะค่ะ ห้ามพลาดนะคะ















"สิว" รอยแผลเป็นของวัยรุ่น




ผิวสวยหน้าใสเป็นสิ่งปรารถนาสำหรับทุกท่าน การดูแลสุขภาพผิวถูกวิธีจะช่วยให้ท่านมีผิวพรรณที่ดี ช่วยเสริมบุคลิกภาพการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่,การพักผ่อนที่เพียงพอ,ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1-2 ลิตร รวมถึงการหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยการสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม และใช้ยาทากันแดด จะช่วยชะลอปัญหาผิวพรรณหมองคล้ำหยาบกร้านก่อนวัยอันสมควร อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะได้มีการดูแลผิวพรรณแล้ว แต่มีปัจจัยบางอย่างในแต่ละช่วงอายุที่ทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณ เช่นปัญหาการเกิดสิวในช่วงวัยรุ่น,ปัญหาฝ้า กระ
ในผู้สูงอายุ


เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งทำให้การทำงานของต่อมไขมันเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้เกิดเป็นสิวอักเสบ บางครั้งทิ้งริ้วรอยไว้เป็นแผลและรอยขรุขระที่ผิวหนัง ทำให้วัยรุ่นบางคนขาดความมั่นใจในตนเอง การแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นจากสิวทำได้โดยการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นการเกิดสิว ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดแผลเป็น โดยการดูแลสุขภาพผิว เช่น การพักผ่อนที่เพียงพอ หลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว เช่น ความร้อน, แสงแดด, มลภาวะจากควันรถยนต์, การแต่งหน้าเข้มเกินไป พยายามหลีกเลี่ยงการบีบ แคะ แกะ เกา เพราะจะทำให้เกิดแผลเป็นเพิ่มขึ้น


อย่างไรก็ดี แพทย์ผิวหนังมีการรักษาที่ช่วยเหลือในกรณีเกิดแผลเป็นแล้ว ได้แก่

การใช้ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเส้นใยคอลลาเจนทำให้แผลตื้นขึ้น

การแต้มแผลเป็นด้วยน้ำยา TCA หลังแต้มน้ำยาแล้วจะเกิดสะเก็ดสีดำที่ตำแหน่งแต้มยา สะเก็ดจะหลุดลอกภายใน 1 สัปดาห์

การทำไอออนโต (Iontophoresis) เป็นวิธีการที่ใช้กระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ ช่วยผลักประจุยาเข้าสู่ผิวหนัง หลังจากทำอาจมีใบหน้าแดงเรื่อ ๆ ซึ่งจะหายไปได้เองภายใน 1 วัน

การผลัดผิวโดยวิธี MD (Microdermabrasion) เป๋นการผลัดผิวโดยใช้หลักการพ่นผง Crystal ซึ่งทำด้วยผลึกอลูมิเนียมอ๊อกไซด์ที่มีขนาดเล็กเท่าทรายละเอียด เพื่อขัดผิวส่วน
ขี้ไคล และหนังกำพร้าส่วนบนให้หลุดไป หลังจากนั้นจะมีการ
สร้างเซลล์ขึ้นใหม่ เพื่อทดแทน

การรักษาโดยการใช้เลเซอร์ ในปัจจุบันมีเลเซอร์ที่สามารถกระตุ้นเส้นใยคอลลาเจนเพื่อช่วยให้แผลเป็นจากสิวตื้นขึ้นโดยไม่ทำให้เกิดแผลที่ใบหน้า และไม่มีอาการเจ็บ หลังทำการรักษาด้วยเลเซอร์ชนิดนี้สามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติ
แต่ต้องอาศัยการรักษาหลายครั้ง
การรักษาโดยวิธีดังกล่าวข้างต้นให้ผลการรักษาที่แตกต่างขึ้นกับลักษณะ
ของแผลเป็น อย่างไรก็ดี ผลที่ได้จากรักษาคือ
ทำให้สภาพผิวเรียบเนียนขึ้นจากเดิม จำเป็นต้องใช้เวลา
ในการรักษาตามแต่ลักษณะผิวเดิม































































เริ่มต้นสายใยรัก...กับการฝากครรภ์






พูดถึงเรื่อง "การฝากครรภ์" คุณแม่มือใหม่ที่มีประสบการณ์เป็นครั้งแรก ย่อมมีอาการตื่นเต้นบ้างเป็นธรรมดา ขณะที่คุณแม่ซึ่งเคยมีประสบการณ์ตั้งครรภ์มาแล้วก็คงพอรู้ ๆ ธรรมเนียมอยู่บ้าง จริง ๆ แล้วการไปฝากครรภ์ครั้งแรกไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ เป็นสิ่งที่คุณแม่ทุกคนควรปฏิบัติเนื่องจากการฝากครรภ์เป็นเรื่องจำเป็นทั้งต่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์



เมื่อคุณแม่ไปฝากครรภ์ครั้งแรก สิ่งที่คุณหมอจะถามก็มักหนีไม่พ้นประวัติความเป็นมาของคุณแม่หลาย ๆ ประการ อย่าคิดว่าหมอซอกแซกหรืออยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นนะครับ เพราะข้อมูลที่ได้มีความสำคัญและจะเป็นผลดีต่อคุณแม่เอง จึงต้องให้รายละเอียดตามความเป็นจริง


ขอยกตัวอย่าง สิ่งที่คุณหมอจะต้องถามแน่ ๆ อย่างเช่น ประวัติประจำเดือนและการคุมกำเนิด ปกติหมอจะถามถึงวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย เพื่อใช้ในการคำนวณหาอายุครรภ์และกำหนดคลอด


ประวัติเกี่ยวกับโรคทางกรรมพันธุ์ในครอบครัวก็เป็นสิ่งจำเป็น ที่ต้องแจ้งให้หมอทราบครับ อย่างโรคบางอย่าง อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคเลือด ที่ล้วนแต่ไม่น่าพิสมัยเหล่านี้ ก็อาจเป็นอาการแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ได้


นอกจากนั้นหมอจะถามไปถึงประวัติความเจ็บป่วยในอดีต บางคนมีโรคประจำตัวบางอย่างที่อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์ หรือการตั้งครรภ์อาจมีผลต่อโรคที่เป็นอยู่ อย่างนี้ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือ หรือในรายที่รับประทานยาบางอย่างอยู่เป็นประจำ หมอจะพิจารณาว่ายานั้นจะมีผลต่อทารกในครรภ์หรือไม่ ถ้าจำเป็นอาจต้องปรับเปลี่ยนตามเหมาะสม


ส่วนคุณแม่ที่เคยผ่านการมีบุตรมาแล้ว จำเป็นต้องถามเพิ่มเติมในเรื่องประวัติการคลอดในครรภ์ก่อน ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบในการดูแลครรภ์ในครั้งนี้ด้วยครับ


ดังนั้น คุณแม่มือใหม่ที่ไปฝากครรภ์ครั้งแรก ก็อย่ามัวแต่เตรียมใจอย่างเดียวนะครับ ควรเตรียมข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนไว้ตอบคำถามคุณหมอด้วย จะได้ไม่รู้สึกหนักใจทั้งคุณหมอและคุณแม่...ฝากครรภ์ครั้งแรกก็จะผ่านพ้นไปโดยราบรื่นครับ


วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

เริ่มต้นสุขภาพดี...เริ่มต้นที่ตัวคุณ









"อโรคยา ปรมาลาภา "ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ "


ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยใด ควรดูแลเอาใจใส่หรือบำรุงรักษาสุขภาพอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้ร่างกายคงสภาพที่ดี ไม่เสื่อมก่อนวัย และหลีกหนีจากโรคภัยไข้เจ็บอันไม่พึงปรารถนาต่าง ๆ


อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง มิได้หมายความว่า สุขภาพจะดีได้ตลอดไป ด้วยปัจจัยทั้งภายในและภายนอก เช่น กรรมพันธุ์ วัยที่เพิ่มขึ้น สภาพแวดล้อม สภาพการดำเนินชีวิต ฯลฯ ล้วนส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อสุขภาพ การป้องกันล่วงหน้าด้วย "การตรวจสุขภาพประจำปี" จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่น่ามองข้าม








การตรวจสุขภาพ อาจไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูปของการมีสุขภาพที่ดี แต่อย่างน้อยก็เป็นหลักประกันได้ในระดับหนึ่ง ทำให้คุณทราบถึงสุขภาพ ร่างกายโดยรวม ที่สำคัญเป็นการตรวจหาโรคบางอย่างที่อาจซ่อนเร้นอยู่โดยไม่รู้ตัว การตรวจพบโรคแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ง่ายต่อการวางแผนรักษาสำหรับแพทย์ โดยเฉพาะโรคร้ายที่อาจลุกลามหรือยากต่อการรักษา หากแพทย์สามารถตรวจพบอาการของโรคได้เร็ว โอกาสในการป้องกันหรือรักษาก็มีมากขึ้น




ทางการแพทย์ต่างเห็นตรงกันว่า การตรวจสุขภาพ เช่น ตรวจวัดความดันโลหิต ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด, ระดับไขมันในเลือด, การทำงานของตับ ไต ฯลฯ ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อายุที่แนะนำให้เริ่มตรวจคือ ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป




ส่วนการตรวจพิเศษเพิ่มเติมอย่างอื่น มักแนะนำในรายที่มีอายุเพิ่มมากขึ้น หรือมีประวัติการเจ็บป่วยหรือประวัติครอบครัว บ่งชึ้ถึงความจำเป็นว่าควรตรวจเพิ่มเติม แต่โดยทั่วไปสถานพยาบาลมักมีโปรแกรมตรวจสุขภาพที่พิจารณาแล้วว่าเหมาะกับแต่ละช่วงอายุหรือเพศ อาทิ โปรแกรมตรวจสำหรับคุณผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป จะตรวจหา "มะเร็งปากมดลูก" และ "มะเร็งเต้านม" ซึ่งเป็นเพชฆาตเงียบที่น่ากลัว หากตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เปอร์เซ็นต์รักษาให้หายขาดจะมีสูงมาก หรือคุณผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป ก็มักจะเพิ่มการตรวจ "มะเร็งต่อมลูกหมาก" เข้าไปด้วย หรือโปรแกรมพิเศษอย่างการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เพื่อค้นหาโรคที่อาจเป็นอุปสรรคต่อชีวิตสมรสหรือบุตรที่จะเกิดมา อาทิ โรคเอดส์ ซิฟิลิส ธาลัสซีเมีย ฮีโมฟีเลีย ไวรัสตับอักเสบบี ฯลฯ ก็จัดเตรียมไว้ให้เช่นกันค่ะ




คนเราจะมีสุขภาพกายสมบูรณ์แข็งแรง และคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ต้องใส่ใจดูแลทั้งในเรื่องอาหาร , การออกกำลังกาย , การจัดการความเครียด ฯลฯ และอย่าละเลย การตรวจเช็คสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจหาความผิดปกติด้วยนะคะ














เซ็กซ์ไม่สะดุด...ถึงหมดประจำเดือน



อย่ากลัวเกินเหตุไปครับ จากการสำรวจพบว่าผู้หญิงไม่ต่ำกว่า 80% มีความรู้สึกสนองตอบทางเพศเหมือนเดิมหรือไม่ก็สูงขึ้นในช่วงใกล้หมดประจำเดือนและหลังจากนั้น มีหลายคู่ทีเดียว...ที่รู้สึกว่าเซ็กซ์ดีขึ้นด้วยซ้ำ เนื่องจากหมดกังวลเรื่องตั้งครรภ์ หรือไม่ต้องพะวงเกี่ยวกับการคุมกำเนิดอีก แถมยังมีเวลาอยู่กับคู่ใจมากขึ้นด้วย

ส่วนปัญหาสภาพร่างกายและอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอดมีน้ำหล่อลื่นน้อยลง ความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลงไป รู้สึกกังวลเรื่องรูปร่างและวัยที่ร่วงโรย มีปัญหาความสัมพันธ์หรือการที่ต้องปรับตัวในช่วงวัยกลางคน ปัญหาเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ชั่วคราว ครั้นสามารถปรับตัวปรับใจจนเข้าที่เข้าทาง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองครับ

หรือบางทีคุณอาจจะต้องเปิดใจคุยกับสามีให้รับรู้ถึงความรู้สีกบ้าง อย่าคิดว่าอยู่กันมานานเขาน่าจะเข้าใจความต้องการของคุณ ว่ากันว่าสามี่ภรรยาที่พูดคุยกันได้อย่างเปิดเผยมักมีความสัมพันธ์ทางเพศดีขึ้นและปัญหาต่างๆ ก็มักคลี่คลายไปทางบวก

การเล้าโลมก่อนการปฏิบัติกิจก็มีความจำเป็นครับ อันนี้คงต้องพูดคุยให้เข้าใจกัน ถ้าจำเป็นอาจต้องใช้ครีมหล่อลื่นเข้าช่วย ส่วนการใช้ฮอร์โมนทดแทนก็อาจช่วยให้การมีเซ็กซ์ดีขึ้น แต่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อน อย่าริไปลองยาอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า

นอกจากนั้นคุณอาจต้องปรับทัศนคติเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์เสียใหม่ ควรคิดถึงคุณภาพมากกว่าปริมาณไม่ตีกรอบตึงเกินไปจนทำให้เกิดความเครียด และเผื่อใจว่าอาจต้องใช้เวลานานขึ้น

หรือคุณอาจพลิกแพลงหาวิธีอื่นๆ ที่จะปรับปรุงเซ็กซ์ให้ดีขึ้น เป็นต้นว่า อาจใช้แสงไฟ น้ำหอมหรือดนตรีช่วยสร้างบรรยากาศ หรือสื่อความรู้สึกถึงกันด้วยการสัมผัส เช่น อาบน้ำด้วยกัน ถูหลังให้กัน ฯลฯ นอกจากนั้นก็อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไม่ควรปล่อยเนื้อปล่อยตัวทั้งในเรื่องการแต่งตัวหรือการรักษาความสะอาด เป็นต้น

จะปล่อยให้ภาวะหมดประจำเดือนมาทำลายเซ็กซ์ของคุณอยู่ทำไม? พยายามขจัดข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่างๆ ออกไปทีละเปลาะ เพื่อให้เซ็กซ์ของคุณกลับมาสดใสอีกครั้งครับ

คิดก่อนใส่...บิ๊กอายส์






...สมัยหนึ่งคอนแทคเลนส์หลากสีเคยฮิตในหมู่วัยรุ่น เราเลยได้เห็นวัยโจ๋มีตาสีเขียวบ้าง สีฟ้าบ้าง เทาบ้าง เดี๋ยวนี้มีกระแสใหม่เข้ามาระบาดในหมู่วัยรุ่นหญิง นั่นคือ แฟชั่นบิ๊กอายส์ ใส่คอนแทคเลนส์ เพื่อให้มองเห็นตากลมโตตามแบบดาราเกาหลีหรือญี่ปุ่น ซี่งคอนแทคเลนส์ประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นเลนส์ใสบริเวณตรงกลาง ส่วนบริเวณขอบเลนส์จะมีสีดำ หรือสีเข้มต่างๆ ทำให้มองเห็นว่าผู้ใส่มีตากลมโตกว่าปกติ


เห็นแล้วก็ได้แต่อึ้งๆ กับการนำคอนแทคเลนส์มาประยุกต์ใช้เพื่อความสวยงามทำนองนี้ และก็อดห่วงไม่ได้ เพราะหากใช้ไม่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ยิ่งเป็นคอนแทคเลนส์แฟชั่นที่มีขายกันทั่วไป ซึ่งไม่รู้ว่ามีคุณภาพหรือมาตรฐานเพียงใด หรือบางคนใส่ไม่ถูกวิธี ดูแลทำความสะอาดไม่เป็น ก็อาจมีการแพ้, ติดเชื้อ, กระจกตาเป็นแผล ไปจนถึงขั้นทำให้ตาบอดได้


รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าคิดแต่อยากสวยอยากเท่ตามแฟชั่นอย่างเดียว เดี๋ยวจะไม่คุ้มเสีย ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและต้องการ การทะนุถนอม จึงควรระมัดระวังปัญหาที่อาจจะเกิดตามมากันด้วยนะคะ ส่วนน้องๆ ที่มีความจำเป็นต้องใส่คอนแทคเลนส์ เพื่อปรับสายตา หรือแก้ไขความบกพร่องในการมองเห็น มีข้อแนะนำดังนี้

  • ไม่ควรซื้อคอนแทคเลนส์จากร้านค้าทั่วไปมาใส่เอง แต่ควรรับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ก่อน จักษุแพทย์จะพิจารณาเลนส์ที่เหมาะพอดีกับดวงตาให้

  • การล้าง แช่ เก็บ และล้างก่อนสวมใส่ จะต้องแน่ใจว่าสะอาดจริงๆ เพราะถ้าเลนส์สกปรกมีเชื้อโรคอาจทำให้ตาอักเสบได้

  • ควรเลิกทำพฤติกรรมบางอย่างที่จะก่อปัญหายุ่งยากในภายหลัง เช่น ใส่ขณะว่ายน้ำ, ใช้เลนส์ร่วมกับผู้อื่น, ใส่นอนหลับ ใส่ข้ามวันข้ามคืนโดยไม่ได้ถอดล้าง เป็นต้น

  • ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นมาก ควรสวมแว่นตาป้องกัน เพราะฝุ่นละอองอาจปลิวมาติดแนบอยู่ด้านหลังของเลนส์ทำให้ระคายเคืองตา หรือเกิดรอยขีดข่วนที่กระจกตา

  • หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาจากการใส่คอนแทคเลนส์ ควรปรึกษาจักษุแพทย์

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความรู้คู่ความสวย

ไฮเปอร์แบริก Hyperbaric



ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะส่งผลให้
  • สมองและร่างกายได้รับออกซิเจนสูงกว่าการให้ออกซิเจนตามปกติหลายเท่า จนสามารถช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงการช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

  • ให้ประโยชน์ในด้านการเพิ่มออกซิเจนอย่างเข้มข้น ซึ่งจะช่วยเสริมออกซิเจนทันทีให้กับสมองหรือเนื้อเยื่อที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ โดยแรงดันในห้องปรับบรรยากาศ จะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในพลาสม่าสูงขึ้น 10 - 15 เท่า และจะทำให้ระดับของออกซิเจนในเลือดแดงสูงขึ้นตามมาด้วย เป็นผลให้ออกซิเจนแพร่ออกจากเส้นเลือดฝอยได้ไกลเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า เพื่อไปเลี้ยงสมองและร่างกายส่วนปลายได้อย่างเพียงพอ

  • เพิ่มสเต็มเซลล์ (Stem Cells) หรือเซลล์ต้นกำเนิดในร่างกาย โดยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% จะกระตุ้นให้เกิดการเคลื่อนย้ายของเซลล์ต้นกำเนิดออกจากไขกระดูก ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของหลอดเลือดที่มีส่วนสำคัญในการสร้างเส้นเลือดขึ้นใหม่ทดแทนในส่วนที่ขาดเลือดหรือบริเวณที่เป็นแผล


  • ช่วยสร้างคอลลาเจนและเส้นเลือดใหม่ ซึ่งผลการรักษาจากการให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์อ่อนและทำให้มีการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ใหม่ รวมถึงการสร้างเส้นเลือดฝอยเพิ่มขึ้นในบริเวณที่ขาดเส้นเลือด เช่น เนื้อเยื่อที่บาดเจ็บจากการฉายแสงรังสี กระดูกติดเชื้อ และแผลเรื้อรังชนิดต่างๆ เช่น แผลเบาหวาน เป็นต้น



จากประโยชน์ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา การรักษาด้วย ไฮเปอร์แบริก จึงก่อเกิดผลดี ไม่เพียงเฉพาะในเด็กผิดปกติทางสมอง CP (CEREBRAL PALSY) เด็กออทิสติก เด็กสมองพิการจากขาดออกซิเจนหลังคลอด ตามที่ได้คุยกันไปในคราวก่อนเท่านั้น

ผลการรักษาด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ยังมีผลดีต่อการรักษาโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้

- เด็กสมองพิการจากการชัก

- ระบบประสาทไม่ทำงาน

- โรคอัมพฤกษ์ - อัมพาตจากเส้นเลือดในสมองตีบ

- ปวดศีรษะเรื้อรังหรือปวดหัวไมเกรน

- ช่วยเพิ่มการสมานแผลให้เร็วขึ้นในแผลผ่าตัด

- โรคโลหิตจางหรือขาดเลือด

- บาดแผลจากไฟไหม้

- ผิวหนังไหม้จากการฉายแสง-รังสี

- แผลที่ไม่สมานของเหงือกและกระดูกจากงานทันตกรรมที่เกิดจากการฉายแสง

- แผลอักเสบเรื้อรัง

- แผลเท้าอักเสบจากเบาหวาน

ติดตามอ่านกันมาถึง 2 ฉบับ คงเปิดมุมมองเกี่ยวกับ ไฮเปอร์แบริก กันไปไม่มากก็น้อย และเชื่อว่า ไฮเปอร์แบริก น่าจะเป็นอีกหนึ่งในแพทย์ทางเลือกที่หลายๆ ท่านเริ่มหันมาให้ความสนใจกันบ้างนะคะ























































































































































Presby LASIK



...มิติใหม่ในการรักษาสายตายาวสูงอายุ เวลามองไกลชัด

แต่พอมองใกล้แทบไม่เห็นอะไรเลย ปัจจุบันมีเทคโนโลยี่ใหม่ 'Presby LASIK'

ช่วยให้คนไข้กลับมามีสายตาปกติ ลดการพึ่งพาแว่นสายตา...

สายตายาวตามอายุ (Presbyopia) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุเกิดจากเลนส์แก้วตาแข็งขึ้นทำให้ความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เลนส์แก้วตาหนาขึ้นหรือบางลงได้ไม่ดีเหมือนเดิม ร่วมกับกล้ามเนื้อภายในตาซึ่งทำหน้าที่ปรับความโค้งของเลนส์แก้วตาเริ่มเสื่อมสภาพลง ทำให้ไม่สามารถโฟกัสภาพในระยะใกล้ได้ ทำให้ผู้ที่มีภาวะสายตายาวตามอายุมีปัญหาในการมองใกล้หรืออ่านหนังสือ

Presby LASIK เป็นเทคโนโลยี่ใหม่ที่นำมาใช้ในการรักษาสายตายาวตามอายุ สามารถรักษาสายตาสั้น, ยาวโดยกำเนิดหรือสายตาเอียง ร่วมกับสายตายาวตามอายุได้พร้อมๆ กัน โดยจะใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า PAC (Pseudo Accommodative Cornea) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาใช้ร่วมกับระบบ NAVEX ในการแก้ไขปัญหาสายตาตามอายุ โดยการปรับความโค้งของกระจกตาให้สามารถปรับโฟกัสได้หลายระยะ (Multifocal - shaped Cornea)

หลังการรักษา คนไข้ประมาณ 80% ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตา แต่ในบางรายอาจจำเป็นต้องใช้แว่นที่มีค่าสายตาน้อยๆ ช่วยในการอ่านหนังสือเป็นบางครั้งบางคราว

สำหรับกลุ่มคนที่เหมาะสมจะทำการรักษาด้วย Presby LASIK ได้แก่ กลุ่มที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ร่วมกับสายตาสั้นมากกว่า -3.0 D ถึง -8.0 D หรือสายตายาวโดยกำเนิดไม่เกิน +3.0 D ทั้งนี้ควรได้รับการตรวจและประเมินสภาพสายตาโดยละเอียด และปรึกษากับจักษุแพทย์เพื่อพิจารณาแนวทางในการรักษา

...นวัตกรรมเพื่อการรักษาสายตายาวสูงอายุ Presby LASIK

นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เข้ามาช่วยให้คนไข้

สะดวกสบายและคล่องตัวในชีวิตประจำวันมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

อิเล็คโตรพอเรชั่น (Electrophoresion)


เพื่อผิวหน้าขาวใส..ลดเลือนริ้วรอย..รับมือรอยดำ และ ริ้วรอย ปัญหาหนักอกของสาวน้อยสาวใหญ่ ด้วยทางเลือกใหม่อิเล็คโตรพอเนชั่น สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง


อิเล็คโตรพอเรชั่น ฟังชื่อแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องใหม่ถอดด้าม แต่อันที่จริง อิเล็คโตรพอเรชั่นใช้หลักการทำงานคล้ายคลึงกับไอออนโต (Ionto) ที่เราๆท่านๆต่างคุ้นเคยกันนั่นแหละค่ะ


อิเล็คโตรพอเรชั่น คือ การนำหรือผลักสารละลายยา(ยาบำรุงผิวหรือวิตามิน) ให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนัง โดยใช้กระแสไฟที่มีความต่างศักย์สูง และปล่อยเป็นจังหวะบริเวณผิวหนัง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของโครงสร้างชั้นไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์ โดยเฉพาะที่ผิวชั้นบนสุดซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เป็นผลให้เกิดรูหรือเส้นทางใหม่ที่ทำให้เพิ่มการเเพร่ซึมผ่านได้มากขึ้น


ถึงหลักการจะคล้ายกัน แต่เมื่อเทียบประสิทธิภาพแล้ว อิเล็คโตรพอเรชั่น ให้ผลการรักษาที่เหนือกว่าไอออนโต เพราะสามารถผลักตัวยาเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดีกว่า เป็นการต่อยอดแวดวงการรักษาผิวพรรณเพื่อความขาวใส ลดเลือนริ้วรอย ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


ส่วนใครที่เป็นกังวลว่าการรักษาด้วยอิเล็คโตรพอเรชั่น มีกระแสไฟมาเกี่ยวข้องจะน่ากลัวมั้ย มีอันตรายหรือเปล่าก็ไม่ต้องกังวลค่ะ เนื่องจากกระแสไฟที่ปล่อยออกมานั้นเพียงเล็กน้อยมาก ไม่มีอันตรายต่อผิวหน้าส่วนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างชั้นไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์ดังที่บอกไปนั้นเมื่อการรักษาเสร็จสิ้นก็จะกลับคืนสู่สภาพเหมือนโครงสร้างเดิมอย่างสมบูรณ์เช่นกัน


ที่นี้มาดูว่า ก่อนทำต้องเตรียมตัวอย่างไรกันบ้างค่ะ การรักษาด้วยวิธีนี้ไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ คนไข้สามารถเดินเข้าไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังได้เลย ถ้าสภาพผิวหน้าพร้อมก็เพียงแค่ล้างหน้าให้สะอาดก่อนทำ คนไข้มักสงสัยว่าระหว่างทำจะเจ็บไหม วิธีนี้คนไข้จะรู้สึกเหมือนกับกล้ามเนื้อหดตัว ไม่เจ็บปวด ใช้เวลาทำครั้งละ 30 นาที ส่วนจะทำกี่ครั้งนั้น โดยทั่วไป เพื่อให้ผลการรักษาออกมาดี ควรทำการรักษา 8-10 ครั้ง โดยใน 3 สัปดาห์แรกทำ 2 ครั้ง/สัปดาห์ สัปดาห์ต่อมาทำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนจะน้อยจะมากกว่านี้คงต้องขึ้นกับปัญหาของผิวพรรณ ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นรายๆไปค่ะ


หลังการรักษาผิวหน้าไม่แดง สามารถแต่งหน้าทาครีม ทาครีมกันแดดได้ตามปกติ หรือถ้าแพทย์มีคำแนะนำอื่นๆ ที่จะเป็นผลดีต่อการรักษา ก็ขอให้ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยนะคะ ผิวหน้าจะได้สวยใสหรือริ้วรอยลดเลือนลงอย่างที่ต้องการ




ผิวสวย หน้าใส คิว-เรย์


คิว-เรย์ (Q-ray Laser) รักษารอยแผลเป็น..คืนความเรียบเนียนให้ผิวหน้า คิว-เรย์ที่หยิบมาฝากกัน อาจจะฟังชื่อแล้วไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าน่าจะครองใจคนรักสวยรักงามได้ไม่ยากในอนาคตอันใกล้นี้


คิว-เรย์ ใช้หลักการของ Fractional Co2 Laser นั่นคือการฉายแสงเป็นจุดเล็กๆลงสู่ผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษาเมื่อแสงสัมผัสกับผิวจะเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นทดแทนเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพ จึงช่วยลดริ้วรอยในระดับติ้นได้ดี อาทิ รอยแผลเป็นจากสิว อีสุกอีใส กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น


จุดเด่นของคิว-เรย์


  • สามารถรักษารอยแผลเป็นต่างๆอาทิแผลเป็นหลุมสิว , กระชับรูขุมขน , แผลหลุมจากสุกใส , แผลหลุมอื่นๆ

  • สามารถปรับกำลังแสงเลือกขนาดของพื้นที่หรือรูปแบบการฉายแสง

  • ให้เหมาะสมกับบริเวณที่ทำการรักษาและมีระบบปรับความเย็นที่ผิวหนัง ผลการรักษาจึงมีความปลอดภัย

  • การรักษาเหมาะกับคนไข้ทุกสภาพผิว

สำหรับขั้นตอนการรักษาด้วยคิว-เรย์ ไม่มีอะไรยุ่งยาก ก่อนทำจะทายาชาเพื่อไม่ให้คนไข้รู้สึกเจ็บ เป็นการป้องกันอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือระบบความเย็นที่มีอยู่แล้ว ส่วนระยะเวลาการทำจะนานเพียงใดขึ้นกับบริเวณที่ทำว่ามากน้องเพียงใด และสถาพผิวหน้าของผู้ป่วย ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม


หลังจากรักษาด้วย คิว-เรย์ ผิวหน้าจะแดงและค่อยๆตกสะเก็ด ประมาณ3-7วัน ก็จะลอกหลุดไปเอง ระหว่างนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและการแต่งหน้า ทาครีมกันแดด SPF มากกว่า 30 อย่างสม่ำเสมอเพื่อปกป้องผิวจากการสัมผัสกับแสงแดดในช่วงการฟื้นฟูของผิวหนัง และปฎิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาค่ะ



ดูแลหัวใจ รู้จักโรคหัวใจ


สถานการณ์ของโรคหัวใจในปัจจุบัน..มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากสถิติพบว่าโรคหัวใจคร่าชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง แถมผู้ป่วยยังมีอายุเฉลี่ยน้อยลงด้วยค่ะ

อันที่จริง "โรคหัวใจ" ไม่ใช่ชื่อโรคเฉพาะแต่เป็นคำรวมๆหมายถึง โรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจ อาทิ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด , โรคลิ้นหัวใจ , โรคกล้ามเนื้อหัวใจ , โรคหลอดเลือดหัวใจ , โรคเยื่อหุ้มหัวใจ เป็นต้น ซึ่งในบรรดาโรคหัวใจทั้งหมด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง

ผู้ที่มีโรคหัวใจ ไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกคน ผู้ป่วยอาจไม่มีอาหารผิดปกติเลยก็ได้ ถ้าโรคหัวใจนั้นยังไม่รุนแรงหรือเพิ่งเป็นในระยะแรก ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคหหัวใจหากมีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้


  • เป็นโรคเบาหวาน

  • เป็นโรคความดันโลหิตสูง

  • มีระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

  • สูบบุหรี่จัด

  • มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

  • หากมีอาการเตื่อนของโรคหัวใจ อาทิ เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น หอบเหนื่อยผิดปกติเวลาออกแรง นอนราบแล้วหายใจไม่สะดวก ฯลฯ

การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ


การตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจแพทย์จะตรวจร่างกายทั่วไป และตรวจหาปัจจัยเสี่ยงต่อโรค เช่น วัดความดันโลหิต , ระดับน้ำตาล และ ไขมันในเลือด ตลอดจนตรวจทางโรคหัวใจ อาทิ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(EKG) ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ECHO) ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย (EST) หรือตรวจด้วยเครื่องมือหรือเทคโนโลยีอันทันสมัยอื่นๆที่จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคทางหัวใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้นเป็นต้นว่าการตรวจสมรรถภาพหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (ABI)


การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหลังออกกำลังกาย การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหลังได้รับยาบางตัว(กรณีที่เดินบนสายพานไม่ได้) การตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ 24 ชั่วโมง (Holter Moniter) การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT Scan 64 slice) หรือถ้าจำเป็นอาจต้องตรวจวินิจฉัยด้วย การสวนหัวใจและฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจ ภายในห้องปฎิบัติการสวนหัวใจ(CATH LAB) เป็นต้น


การรักษาโรคหัวใจ มีหลายวิธีขึ้นกับปัญหาของผู้ป่วยแพทย์จะพิจารณาวิธีที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอาทิ



  • การรักษาทางยา

  • การขยายหลอดเลือดหัวใจตีบด้วยบอลลูนและขดลวด กรณีเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • การฝังเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจชนิดถาวร (Pacemaker)

  • การผ่าตัดฝังเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจแบบอัตโนมัติการผ่าตัดหัวใจ(Cardiac surgery)

  • การผ่าตัดลิ้นหัวใจ ผ่าตัดหัวใจที่มีความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิด

  • ผ่าตัดทำทางเบี่ยง (Bypass) หลอดเลือดหัวใจ

  • ผ่าตัดหัวใจอื่นๆ

ผู้ป่วยโรคหัวใจจำเป็นต้องได้รับการดูแลภายหลังรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แพทย์จะนัดพบผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามผลการรักษา ดูแลเรื่องการให้ยาหรือให้คำแนะนำในการปฎิบัติตัวต่างๆ เช่น การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี แนะนำโภชนาการที่ถูกต้อง เป็นต้น


สำหรับโรคหัวใจ..พรุ่งนี้อาจสายเกิน หากท่านสงสัยว่าจะเป็นโรคหัวใจควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยแต่เนิ่นๆ ปัจจุบันมีสถานพยาบาลแห่งที่มีความพร้อมในด้านทีมแพทย์และบุคลากร ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องมือที่จะช่วยในการตรวจวินิจฉัยและรักษา

แนะนำโรงพยาบาลยันฮี


บริการของเรา

โรงพยาบาลยันฮีเป็นโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่มีอาคารทันสมัยสูง h10S ชั้น สามารถรองรับผู้ป่วยได้ถึง 400 เตียง และรองรับผู้ป่วยนอกได้ถึงวันละ 2,000 คน โดยเปิดให้บริการรักษาด้านความสวยงาม และโรคทั่วไปครบทุกสาขา


คณะแพทย์และทันตแพทย์

คณะแพทย์และทันตแพทย์ โรงพยาบาลยันฮีมีบุคลากรทางการแพทย์ที่พร้อมจะให้บริการตรวจรักษาตลอด 24 ชั่วโมง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางประจำโรงพยาบาลกว่า 11,301 ท่าน แพทย์นอกเวลาอีก 125 ท่าน รวมถึงบริการที่อบอุ่น รวดเร็ว จากพยาบาลและเจ้าหน้าที่อื่นๆ นอกจากนั้นยังมีความพร้อมทางด้านอุปกรณ๋และเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย สะอาดปลอดภัย มีห้องตรวจ OPD 130 ห้อง มีห้องผ่าตัดขนาดใหญ่ 12 ห้อง ห้องผ่าตัดเล็ก 30 ห้อง รวมไปถึงห้องคลอด ไอ.ซี.ยู. ห้องล้างไต ห้องเด็กอ่อน ห้องฉุกเฉิน ห้องปฎิบัติการ และห้องนึ่งฆ่าเชื้อที่ได้มาตรฐานสากล และปลอดภัยแห่งหนึ่งในประเทศ


ระบบคุณภาพ

ระบบคุณภาพโรงพยาบาลยันฮี โรงพยาบาลระบบมาตรฐาน ISO 9001 และ 14001 ในปัจจุบันคงจะเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าคุณภาพเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งของการค้าและการประกอบธุรกิจต่างๆทั่วโลก กว่า900ประเทศ ได้นำระบบคุณภาพ ISO 9000 มาใช้เพื่อการพัฒนาให้ทัดเทียมและเป็นที่ยอมรับของสากล เพราะคุณภาพจะเป็นหลักประกันว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าหรือบริการตรงตามความต้องการ