วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำตอบจากแพทย์




พิษสุนัขบ้า

Q : ผมอยากทราบว่า โรคพิษสุนัขบ้านอกจากจะมีสาเหตุจากถูกสุนัขกัดแล้ว ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่มีเชื้อโรคนี้อีกหรือไม่ และถ้าผมถูกกัดหรือโดนสุนัขข่วน ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

A : สาเหตุของการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าไม่เพียงแต่จากถูกสุนัขกัดตามชื่อโรคเท่านั้นสัตว์ประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมหรือสัตว์แทะ เช่น แมว วัว ควาย แพะ แกะ ลิง ค้างคาว กระรอก เป็นต้น สัตว์จำพวกนี้มีเชื้ออยู่ในน้ำลายเช่นกัน และเชื้อจะสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ผิวหนังโดยถูกสัตว์กัด ข่วน ถึงแม้จะเป็นเพียงแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ถ้าถูกสัตว์เลียบนบาดแผล เชื้อก็สามารถเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า คือ การรับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรค นอกจากนี้การดูแลบาดแผลก็เป็นสิ่งสำคัญ หลังสัมผัสโรคควรทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลายๆ ครั้ง แล้วรีบพามาพบแพทย์ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่า เมื่อสัมผัสกับสัตว์เหล่านี้ไม่ควรประมาท เพราะเมื่อโรคนี้แล้ว และผู้ป่วยเริ่มมีอาการแสดงของโรคมักจะเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่วันครับ

ฟันห่าง

Q :ดิฉันมีปัญหาฟันหน้าห่างมาก รู้สึกอายเวลายิ้ม หรือพูดคุยกับใครๆ เพื่อนๆ ก็ชอบล้อจนหมดความมั่นใจ อยากทราบวิธีแก้ไขค่ะ

A : การแก้ไขปัญหาฟันห่างมีวิธีการรักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้วิธีจัดฟัน การถอนฟันเพื่อใส่ฟัน และปัจจุบันมีวิธีการที่ทันสมัยโดยการใช้วัสดุปิดช่องห่างของฟัน ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขที่ทำได้ง่าย สะดวกปลอดภัย และวัสดุที่ใช้ปิดช่องว่างนี้จะมีคุณสมบัติยึดติดกับฟันได้ดีและให้สีเหมือนธรรมชาติ นอกจากนี้การปิดช่องว่างทำบนผิวเคลือบฟัน จึงไม่มีปัญหาเสียเนื้อฟันและจะไม่รู้สึกเจ็บ อีกทั้งไม่มีผลต่อโครงสร้างของฟัน หลังทำแล้วคุณสามารถใช้งานได้ทันที และสามารถอยู่ได้นานหลายปีเลยทีเดียว ถ้าสนใจลองมาปรึกษาทันตแพทย์ดู ต่อไปคุณก็จะยิ้มได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องอายหรือกลัวใครล้อเลียนอีกแล้วค่ะ




















เติมรสชาติให้...ชีวิตคู่




คู่สามีภรรยาอยู่กันมานาน ก็เหมือนน้ำพริกถ้วยเก่า เริ่มจืดชืดหมดรสชาติ ความหวานแหววที่เคยมีไม่รู้หล่นหายไปไหนหมด สามีภรรยาบางคู่แต่งงานกันมา 5 ปี บ่นเบื่อกันแล้ว เบื่อหน่ายหนักๆ เข้าอยากกลับไปเป็นคนโสดเหมือนเก่าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็มี แหม ฟังดูเหมือนว่าชีวิตคู่จะส่อสัญญาณไม่น่าไว้วางใจเสียเลย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ค่ะ สถานการณ์ชีวิตคู่ของคุณอาจไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คุณคิด

อันที่จริงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ชีวิตคู่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง คู่สามีภรรยาที่ร่วมชีวิตกันมานานจะให้คงความหวานเหมือนสมัยคบกันใหม่ๆ ก็คงจะไม่ใช่ แต่การปล่อยให้สถานการณ์ที่ว่าดำเนินไปก็คงไม่ดีแน่ ถ้ายังไงมาเติมรสชาติความหวานเพื่อให้ชีวิตคู่ของคุณกลับมามีความโรแมนติคอีกครั้งค่ะ

  • คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง" ชีวิตคู่ก็เช่นกันค่ะ ถ้าคุณจะเริ่มต้นสร้างความหวานให้ชีวิตคู่อีกครั้ง คงต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายจึงจะเห็นผล

  • เปิดเผยความรู้สึกของคุณให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา แล้วหาจุดสมดุลร่วม จะได้ไม่เป็นการฝืนใจใครคนใดคนหนึ่ง

  • ถ้าหน้าที่การงานหรือภาระต่างๆ รัดตัวจนทำให้คุณสองคนมีเวลาให้กันน้อยลง ลองจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อให้มีเวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น

  • ทำกิจกรรมร่วมกันแบบคู่รักทั่วไป เช่น หาเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองให้มากขึ้น มีนัดพิเศษนอกบ้าน เช่น ไปทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลง โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโอกาสพิเศษใดๆ

  • มีเวลาให้กันในเรื่องเซ็กซ์ และลองปรับเปลี่ยนเทคนิคในเรื่องนี้ดูบ้าง เช่น เปลี่ยนสถานที่หรือบรรยากาศในการทำกิจกรรมทางเพศ คุณผู้หญิงอาจสร้างความเซ็กซี่ด้วยชุดนอน หรือชุดชั้นในวาบหวาม ชวนวาบหวิว อาบน้ำด้วยกันหรือผลัดกันนวด เป็นต้น

  • สร้างเสน่ห์ให้ตัวเองด้วยการดูแลรูปร่างทรวดทรงให้ดูดีอยู่เสมอ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแต่งงานกันมานานก็อย่ามองข้ามค่ะ

วิธีแนะนำมาข้างต้นอาจไม่ง่ายในทางปฏิบัติ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเขินอาย หรือไม่กล้าเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่ตนเองเคยชินอยู่ ถ้าไม่อยากให้ชีวิตคู่ซ้ำซากจำเจอยู่ที่เดิมจนกลายเป็นความจืดจาง ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติทดลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำดูบ้าง อาจพบความแปลกใหม่นำพาให้ชีวิตคู่มีรสชาติมากขึ้น

เอาล่ะค่ะ มาเริ่มต้นปรับจูนชีวิตคู่ระหว่างกันเสียแต่วันนี้ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเบื่อหน่ายกินลึกไปเรื่อยๆ เพราะถ้าถึงจุดที่ทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ชีวิตคู่อาจถึงกาลอวสานได้ค่ะ

วัยรุ่นกับรอยสัก

วัยรุ่นอยากรู้อยากลอง อยากทำอะไรที่ดูโก้เก๋ เราจึงได้เห็นวัยรุ่นชายหญิงสักลวดลายลงบนตัว มากบ้าง น้อยบ้าง เช่นบางคนสักรูปหัวใจไว้ที่หน้าอก บางคนสักลวดลายเต็มแขนทั้งสองข้าง เป็นต้น แรกๆ รอยสักก็อาจดู เท่ดี แต่นานวันเข้ารอยสักอาจกลายเป็นรอยปัญหา เพราะคนที่มีรอยสักมักถูกมองในทางลบมากกว่าทางบวก จะสมัครเรียนสมัครงานก็อาจพลาดโอกาส ดังนั้น น้องๆ ที่คิดจะสักควรคิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะรอยสักจะติดตัวเราไปจนโต และการลบรอยสักต้องใช้เวลา และค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งจะเป็นภาระกับผู้ปกครองนะคะ

แต่ถ้าน้องๆ คนไหนสักไปแล้ว และมีปัญหากับรอยสัก อยากจะลบทิ้ง แนะนำให้ไปปรึกษาคุณหมอ ปัจจุบันมีเลเซอร์ใช้ลบรอยสักได้ค่ะ

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีการลบรอยสักที่นิยมทำ เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ และผลที่ออกมาสามารถลบรอยสักได้มากกลับไปใกล้เคียงกับผิวหนังเดิม

กลไกในการรักษาแพทย์ก็จะเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมตรงกับสีของรอยสัก ซึ่งแต่ละสีก็จะมีความจำเพาะกับเลเซอร์แต่ละความยาวคลื่น ซึ่งแสงเลเซอร์ก็จะไปทำให้เม็ดสีในผิวหนังแตกออก และถูกขจัดออกทางระบบน้ำเหลือง, ขจัดออกทางผิวหนังตามมา

การลบรอยสักจะทำทุก 3-4 อาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง ส่วนจำนวนครั้งนั้นขึ้นอยู่กับเป็นรอยสักชนิดไหน ถ้าเป็นรอยสักโดยช่างสมัครเล่น (มักเป็นรอยสักสีเดียว เช่น สีดำ และรอยสักไม่ลึกมากนัก) ก็สามารถทำการลบออกได้ภายใน 6-8 ครั้ง ส่วนรอยสักโดยช่างอาชีพ (มักจะมีหลายสี เช่น แดง เขียว เหลือง ดำ สีแต่ละสีมีความคมชัดสูง และมีความลึกของเม็ดสีมากกว่า) ต้องใช้จำนวนครั้งในการลบมากกว่า อาจถึง 10 ครั้งขึ้นไป ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมาในรอยสักจากช่างสมัครเล่น ผลลัพธ์จะดีกว่ารอยสักโดยช่างอาชีพ ซึ่งอาจจะยังมีรอยสักจางๆ หลงเหลืออยู่ที่ผิวหนังค่ะ

ก่อนจากกันขอฝากน้องๆ อีกสักเรื่อง อย่าได้ไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกี่ยวกับน้ำยาลบรอยสัก ที่ว่ามีประสิทธิภาพและเห็นผลทันตา แล้วซื้อมาลบรอยสักเองนะคะ อาจเกิดแผลเป็น หรือไม่ก็เสียโฉมไปเลย ทำให้ต้องมาเวียนแก้ปัญหาในระยะยาวเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ค่ะ

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ศัลยกรรม...รักษาใบหน้าที่เสียโฉม



เมื่อ "ศัลยกรรมตกแต่ง" ไม่ใช่แค่การยกเครื่องเรื่องความงามของผู้หญิง แต่ช่วยแก้ไขความพิการที่สร้างความทุกข์ระทมให้กับผู้ป่วย เฉกเช่นชีวิตของเด็กสาววัยสดใสคนหนึ่งที่ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน...ทำให้ใบหน้าของเธอเสียโฉมจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ แต่ด้วยศัลยกรรมตกแต่งทำให้เธอกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

คงต้องยอมรับว่า สมัยนี้การทำศัลยกรรมตกแต่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่เฉพาะในสังคมไทย บ้านอื่นเมืองอื่นก็นิยมทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่ามครต่างก็อยากมีรูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้น บางคนทำศัลยกรรมมาแล้วจำแทบไม่ได้เพราะสวยหล่อขึ้นผิดตา ทุกวันนี้การทำศัลยกรรมจึงไม่ได้จำกัดวงเฉพาะคนที่ประกอบอาชีพที่ต้องอาศัยบุคลิกรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก อาทิ ดารา นักร้อง นักแสดง ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ อย่างเดียว คนทั่วๆ ไปที่อยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้น ก็หันมาพึ่งศัลยกรรมตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูก ทำตาสองชั้น เสริมคาง ดึงหน้า ดูดไขมัน เป็นต้น ยิ่งสมัยนี้เทคนิคการทำศัลยกรรมมีการพัฒนาและทันสมัยมากขึ้น กระทั่งสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการสร้างทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม หรืออิทธิพลจากบุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติพี่น้อง เพือน หรือคนรู้จัก ที่เคยทำศัลยกรรมแล้วดูดีขึ้นสวยขึ้น ล้วนมีส่วนผลักดันให้คนกล้าตัดสินใจลุกขึ้นมาทำศัลยกรรมกันมากขึ้นค่ะ

ศัลยกรรม...ทำเพื่อใคร?

แน่นอนว่ากลุ่มใหญ่ของคนที่ทำศัลยกรรมก็คือ คนทั่วๆ ไปที่อยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนให้ดูดีขึ้น อันนี้เข้าใจได้ไม่ยากค่ะ คนเราเกิดมาไม่มีใครสวยหล่อสมบูรณ์แบบ บางคนตาตี่ บางคนดั้งแบน บางคนก็อกแฟบ ฯลฯ ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นปมด้อยที่ทำให้ขาดความมั่นใจ ทำให้คนหันมาพึ่งพาศัลยกรรมตกแต่งเพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องให้มีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้นับวันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกกลุ่มเป็นกลุ่มของผู้ป่วยจริงๆ ไม่ใช่คนทั่วไปอย่างกลุ่มแรก กลุ่มนี้ทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขความผิดปกติหรือความพิการของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นมาแต่กำเนิด หรือมาเกิดขึ้นภายหลังเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น เด็กที่เกิดมาพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ หรือผู้ได้รับอุบัติเหตุ ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ บนใบหน้า หรือรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิต หรือไม่ผู้ป่วยก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับสภาพความผิดปกติที่เป็นจนไม่อาจใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ สำหรับคนกลุ่มนี้ การทำศัลยกรรมตกแต่งกลายเป็นทางออก ที่จะช่วยแก้ไขและปรับเปลี่ยนสภาพความผิดปกติทางร่างกายให้กลับคืนใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด ช่วยลดปมด้อยสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั่งค่ะ

อย่างไรก็ตาม สองกลุ่มที่ว่านี้สัดส่วนต่างกันค่อนข้างเห็นเด่นชัดโดยปริมาณจะเทไปทางกลุ่มแรกเสียมาก กลายเป็นว่า พอพูดถึงศัลยกรรมคนส่วนใหญ่เลยติดภาพว่า เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความงามอย่างเดียว ทั้งที่การทำศัลยกรรมไม่ได้ยังประโยชน์แค่ในกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความงามเท่านั้น ดังเช่น "การทำศัลยกรรมตกแต่งในผู้ป่วยที่ใบหน้าเสียโฉม" ที่เราจะพูดถึงกันต่อไป

ศัลยกรรมตกแต่ง...ใบหน้าที่เสียโฉม

การทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าในผู้ป่วยที่เสียโฉม เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำศัลยกรรมตกแต่งมาใช้ในทางสร้างสรรค์ โดยการรักษาต้องอาศัยทั้งฝีมือของศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเวลา ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายขั้นตอนกว่าที่ผลการรักษาจะออกมาน่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการรักษาผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนี่คือเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ชีวิตต้องตกอยู่ในสภาพการณ์อันเลวร้าย แต่พลิกฟื้นกลับมาได้ด้วยศัลยกรรมตกแต่ง

ฝันร้าย...มาเยือน

จากเด็กสาววัยรุ่นที่ร่าเริงสดใส ด้วยวัยเพียง 14 ปี ชีวิตดำเนินไปเยี่ยงปกติเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอก็พลิกผันสุดหยั่งคาด โชคชะตาเหมือนจะเล่นตลก เธอประสบอุบัตืเหตุโดนน้ำกรดใส่ยางพาราระเบิดใส่ใบหน้าและลำตัว นับแต่วินาทีนั้น ชีวิตของเด็กสาวเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ได้ให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่เธอต้องเสียโฉมจนมิอาจเยียวยาให้กลับคืนมาดังเดิมได้ ทุกวันที่ได้เห็นใบหน้าตัวเองเป็นสภาพที่เกินจะทนทานรับได้ เด็กสาวต้องแบกความทุกข์ใจเอาไว้อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งโอกาสในชีวิตเปิดขึ้นอีกครั้ง

ขั้นตอนการรักษา

แพทย์ได้ทำการตรวจและให้การวินิจฉัยว่า เธอมีบาดแผลของการเผาไหม้ของสารเคมีบนใบหน้า แขนซ้าย ไหล่ ขา และลำตัวประมาณ 25% (25% Third degree Burn Chemical at Face, Left, arm, forearm, hand, Right shoulder, Right leg) ส่วนการทำงานของอวัยวะของร่างกายที่โดนน้ำกรดลวก เช่น การมองเห็น การดมกลิ่น การได้ยิน หรือการทานอาหาร มีปัญหาบ้างแต่การทำงานยังปกติดีอยู่ นับว่ายังโชคร้ายไม่ถึงที่สุด


และจากการตรวจร่างกายพบว่า ใบหน้าของเธอแทบจะไม่มีเนื้อดีเหลืออยู่ มีแผลเป็นนูนและดึงรั้งจากน้ำกรด (acid burn) ทำให้ใบหน้าผิดรูปไปมาก หางตาด้านซ้ายผิวหนังหดรั้งมาก ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ จมูกยุบยวบลงไปจนไม่มีลักษณะหรือโครงสร้างเดิม และมุมปากหดรั้งทำให้ไม่สามารถอ้าปากได้เต็มที่

เมื่อประเมินสภาพปัญหาแล้วแพทย์ได้วางแผนการรักษา โดยเลือกเทคนิคการรักษาที่จะช่วยให้ใบหน้าของผู้ป่วยกลับมาอยู่ในสภาพดีที่สุด ดังนี้

ใบหน้าด้านซ้ายบริเวณแก้ม มีแผลเป็นนูนใหญ่ กินเนื้อที่กว้างไม่มีเนื้อดีเหลือเลย จำเป็นต้องตัดแผลเป็นออกทั้งหมด แล้วใช้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องมาปิดตามแนวที่จะทำให้แผลเป็นสวยที่สุด ซึ่งหลังการรักษาเนื้อเยื่อมีการติดกันดีไม่มีการอักเสบ ผิวหนังจากท้องได้มาทดแทนผิวหนังบริเวณแก้มซ้ายที่นูนผิดปกติอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นจึงทำการรักษาใบหน้าบริเวณด้านขวา ซึ่งมีเนื้อดีเหลือไม่มากนัก ในการรักษาจำเป็นต้องใช้เนื้อดีที่มีอยู่ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด แพทย์จึงใช้วิธีที่เรียกว่า Tissue Expansion คือการใส่เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเพิ่มเนื้อเยื้อ ในกรณีนี้แพทย์ได้ใส่ลูกโป่งทางการแพทย์ 2 ลูก เข้าไปขยายเนื้อดีที่เหลืออยู่ โดยผู้ป่วยจะต้องเข้ามารับการฉีดน้ำเกลือเข้าไปในลูกโป่งทุกสัปดาห์ เพื่อให้ได้เนื้อเยื่อมากที่สุดที่จะสามารถนำไปปิดบริเวณหน้าด้านขวาได้ จากนั้นทำการตัดแผลเป็นนูนออกและยึดเนื้อดีที่เกิดจากการขยายตัวด้วยลูกโป่งเข้าไปปิดแทน

บริเวณหางตาด้านซ้ายที่ผิวหนังหดรั้งมาก ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ แพทย์ทำการแก้ไขโดยการผ่าตัดด้วยวิธี Z-plasty ซึ่งการผ่าตัดลักษณะนี้แผลผ่าตัดจะเป็นรูปซิกแซก (Zigzag) ช่วยลดการดึงรั้งบริเวณหางตาได้ค่ะ

ลำดับต่อมาคือ การทำจมูกใหม่เนื่องจากจมูกไม่มีรูปร่างเดิมหลงเหลืออยู่เลยโดยวิธี Scalp Flap เป็นการตัดหนังศีรษะจากบริเวณด้านข้างของศีรษะมาปลูกเนื้อเยื่อบริเวณจมูกแล้วดึงหนังกลับไปเหมือนเดิม เพื่อให้ได้รูปจมูกที่ดูใกล้เคียงปกติมากที่สุด

หลังขั้นตอนการรักษาสำคัญๆ ผ่านพ้นไป คงเหลือการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างแผลเป็นนูนบางแห่งก็พิจารณาฉีดยาให้ยุบลง หรืออย่างสีผิวหนังที่ยังไม่สม่ำเสมอ ก็ใช้วิธีทางการแพทย์ช่วยได้ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคงเค้าใกล้เคียงรูปหน้าเดิมมากที่สุดนั่นเอง

ก้าวสู่...ชีวิตใหม่

กว่า 2 ปีที่เข้ารับการรักษา นับเป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่า แม้การรักษาจะไม่ได้ผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเยียวยาให้ใบหน้าของเธอมีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ปัจจุบัน เด็กสาวกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง สามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจมากขึ้น ไม่ต้องคอยหลบหน้าผู้คนอีกต่อไป ส่วนการรักษาทางการแพทย์ยังคงต้องมาพบแพทย์เป็นระยะ เพื่อติดตามผลการรักษา ล่าสุดเราได้รับทราบข่าวดีว่าเธอได้สร้างครอบครัวของเธอเอง มีบุตรน้อยที่น่ารักเป็นเสมือนของขวัญมาช่วยลบเลือนฝันร้ายที่ผ่านมา..


















































ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช




"แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว"

สมัยนี้โลกสื่อสารถึงกันไวเพียงชั่วนิ้วคลิก แล้ววงการแพทย์จะย่ำอยู่กับที่ได้ยังไงล่ะคะ อย่างการผ่าตัดทางนรีเวชด้วยวิธีเปิดหน้าท้องแบบเดิมที่คนไข้มักนึกขยาด ได้พลิกโฉมไปสู่การผ่าตัดผ่านกล้อง...อีกทางเลือกใหม่ที่น่าจับตามองในห้วงเวลานี้ค่ะ

การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช เป็นการผ่าตัดที่ใช้กล้องสอ่งเข้าไปในช่องท้อง เพื่อรักษาโรคในบริเวณอุ้งเชิงกราน อันที่จริงการผ่าตัดผ่านกล้องไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าใครสนใจข่าวสารในแวดวงการแพทย์ก็คงจะเคยได้ยินการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านกล้องกันมาบ้าง การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชก็ใช้หลักการคล้ายๆ กันค่ะ โดยแพทย์จะเจาะผนังท้องผู้ป่วยเพื่อใส่ก๊าซเข้าไปขยายช่องท้องให้ใหญ่ขึ้น จากนั้นสอดกล้องขนาด 0.5 - 1 เซนติเมตร เพื่อหารอยโรค แล้วจึงเจาะผนังช่องท้องเพิ่มอีก 2 -3 ตำแหน่ง สำหรับใส่เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก มีความกว้างประมาณ 0.5 - 1 เซนติเมตร เพื่อทำการผ่าตัดต่อไป


เมื่อเทียบกับการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบเดิม จุดเด่นของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชก็คือ เป็นการผ่าตัดที่กระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในน้อย ลดโอกาสเกิดพังผืดในช่องท้อง หลังทำผู้ป่วยจะเจ็บแผลน้อยมาก เนื่องจ่ากแผลมีขนาดเล็ก เพียง 0.5 - 1 เซนติเมตร (ประมาณ 4 ตำแหน่ง) จึงใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 2 - 4 สัปดาห์ค่ะ

ที่นี้มาดูกันว่า กรณีใดบ้างที่ทำผ่าตัดผ่านกล้องได้

  • ในกรณีต้องการตรวจวินิจฉัย เช่น ภาวะปวดท้องน้อย เรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ ภ่าวะมีบุตรยาก

  • ผ่าตัดปีกมดลูก เช่น ท้องนอกมดลูก ช็อกโกแลตซีสต์ ถุงน้ำรังไข่

  • ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก หรือผ่าตัดมดลูก

  • ผ่าตัดเลาะพังผืดในช่องท้อง

ถึงจะมีข้อดีและดูว่าไม่น่ามีอันตรายใดๆ แต่การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชก็มีข้อจำกัดในการทำค่ะ ไม่ใช่ทำได้ทุกราย อย่างผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด โรคอ้วน ผู้ป่วยเคยผ่าตัดใหญ่ ที่อาจจะมีพังผืดในช่องท้องมาก หรือผู้ป่วยมีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก กรณีที่ยกมาเหล่านี้แพทย์จะเลี่ยงไม่ผ่าตัดผ่านกล้อง หรือจะพิจารณาเป็นกรณีไปว่าสมควรจะผ่าตัดด้วยวิธีไหน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย

นำข้อมูลการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชมาแนะนำให้รู้จัก เผื่อไว้เป็นข้อมูลในการรักษาอีกทางหนึ่งนะคะ และด้วยข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องที่กล่าวถึงไปแล้วนั้น เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้...การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช จะเป็นการผ่าตัดที่เลือกใช้ก่อนวิธีการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องแบบเดิม หากผู้ป่วยไม่มีข้อจำกัดทางการแพทย์ค่ะ