วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

แจกฟรี !



แจกฟรี ! คูปองส่วนลด 10% ของโรงพยาบาลยันฮี
ใช้ได้ทุกศูนย์การรักษา ไม่มีขั้นต่ำค่ะ
สามารถพิมพ์คูปองจากหน้ากระทู้นี้ หรือเข้าไปโหลดที่ :
www.thaiprivilege.com หรือที่ :
แล้วนำไปยื่นที่แคชเชียร์ก่อนการชำระเงินได้เลยค่ะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 02-784-7844

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

แต่งตัวให้เหมาะ...ยามหางาน


สาวๆ ที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ถึงเวลาต้องตระเวนหางานทำ ถ้ายังนึกไม่ออกว่าควรแต่งกายอย่างไรดีเวลาไปสมัครหรือสัมภาษณ์งาน เรามีคำแนะนำมาฝากค่ะ

- กระโปรงสั้นผ่าหน้าผ่าหลัง เสื้อรัดรูปโชว์หุ่น พับเก็บไว้ก่อนค่ะ สถานที่ทำงานไม่ใช่เวทีแคทวอล์ก ความมั่นใจเกินร้อยโดยไม่รู้กาลเทศะอาจทำให้คุณพลาดงานไปอย่างน่าเสียดายค่ะ

- รองเท้าเปลือยส้นไม่มีสายรัดข้อเท้า ถึงดูเก๋แต่ไม่ใช่เวลานี้ คุณควรเลือกสวมรองเท้าคัชชูปิดนิ้วเท้าจะสุภาพกว่าเลือกแบบเท่ๆ เก๋ๆ ก็ไม่ต้องกลัวเชยแล้วล่ะค่ะ

- กระเป๋าถือก็อย่าให้ดูแฟชั่นหรือสีสันจัดจ้านจนเกินไป ควรเลือกโทนสีขรึม และ ขนาดให้พอเหมาะ

- สุดท้าย คำพูด คำจา ถือเป็นอาภรณ์ประดับกายอย่างหนึ่ง ก็ควรให้อ่อนหวาน อ่อนน้อม และมั่นใจ จะช่วยเสริมเสน่ห์ให้คุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้นค่ะ

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

หลากเทคนิค...เพื่อเจ้าตัวน้อย



คู่สามีภรรยาที่ครองรักครองสุขกันมานาน จนอยากจะมี "โซ่ทอง" คล้องใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่า เจ้าตัวน้อยจะยอมมาแจ้งเกิดสักที เรามีคำแนะนำที่คุณทั้งคู่สามารถนำไปลองปฏิบัติได้ด้วยตนเองมาฝากค่ะ

* ละทิ้งความเครียดไปบ้าง ถ้าชีวิตประจำวันของคุณ มีแต่เรื่องเคร่งเครียด เช่น เครียดกับปัญหาส่วนตัว, เครียดเรื่องงาน เหมือนอย่างเพลงเขาว่าไว้...เช้ามาก็ปั่นแต่งาน ดึกดื่นถึงบ้านแทบคลานไม่ไหว ก็คงไม่มีอารมณ์เติมไฟรักให้กันได้เป็นแน่ ถ้าเป็นไปได้ควรเพลาๆ เรื่องงานเอาไว้บ้าง แล้วหาเวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น หรือไม่ก็หาวันหยุดไปพักผ่อนหย่อนอารมณ์ให้คลายเครียดในสถานที่ที่มีบรรยากาศดีๆ หลีกหนีความซ้ำซากจำเจ เพื่อช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งสดชื่น กระปรี้กระเปร่า จะได้มีเวลาหวานๆ ซึ้งๆ ระหว่างกันมากขึ้นค่ะ

* เลือกช่วงเวลามีเพศสัมพันธ์ ในแต่ละเดือน รังไข่ของผู้หญิงจะผลิตไข่ 1 ฟอง เพื่อรอรับการผสม หากไข่ไม่ได้รับการผสม ผนังมดลูกที่หนาขึ้นเพื่อเตรียมรับการฝังของตัวอ่อนก็จะสลายกลายเป็นเลือดระดูขับออกจากร่างกาย คุณจึงควรเลือกมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ไข่สุกพร้อมติดมากที่สุด ดังนี้

- ให้มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 3 วันติดต่อกันในช่วงระหว่างวันที่ 11-16 โดยนับวันแรกที่มีประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 (ไม่ใช่นับวันที่ตามปฏิทินนะคะ) หากมีเพศสัมพันธ์ก่อนหรือหลังช่วงเวลานี้ โอกาสตั้งครรภ์จะมีน้อย เพราะไข่ยังสมบูรณ์ไม่เต็มที่ หรือไข่เริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ส่วนคุณผู้หญิงที่รอบเดือนมาไม่ปกติ คือระยะรอบเดือน 27-35 วัน (รอบเดือนโดยเฉลี่ยราว 28 วัน) ให้มีเพศสัมพันธ์สลับวันเว้นวัน 5 วันติดต่อกัน โดยเริ่มจากวันที่ 13 หลังประจำเดือนมาเป็นวันแรก โอกาสตั้งครรภ์จะมีมากค่ะ

- อีกวิธีหนึ่งให้ใช้ปรอทวัดไข้ คอยวัดอุณหภูมิร่างกายตัวเอง โดยทุกเช้าก่อนที่คุณผู้หญิงจะมีกิจกรรมอื่นใด ให้วัดอุณหภูมิตัวเองจดบันทึกไว้ วันไหนพบว่าอุณหภูมิลดต่ำกว่าปกติ 0.5 องศาเซลเซียส ให้เริ่มมีเพศสัมพันธ์ 3 คืนติดต่อกันทันทีโอกาสตั้งครรภ์จะมีสูงเช่นกันค่ะ

คงจะเห็นนะคะว่า โอกาสทองของการตั้งครรภ์ของผู้หญิงเรานั้นมีระยะเพียง 3-4 วันในหนึ่งเดือนเท่านั้นเอง ฉะนั้น วางแผนนับวันกันให้ดีๆ จะได้ไม่ผิดพลาด

* ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

- นักวิจัยพบว่า น้ำกาม 1 มิลลิลิตร ควรมีเชื้ออสุจิไม่ต่ำกว่าห้าพันล้าน ถึงหนึ่งหมื่นล้านตัว แถมในจำนวนนี้ต้องเป็นเชื้อที่แข็งแรง " ใช้การได้ " ไม่ต่ำกว่า 60% ดังนั้น คุณผู้ชายควรลด ละ เลิกพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความสมบูรณ์แข็งแรงของตัวอสุจิ เป็นต้นว่า การผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยการแช่น้ำอุ่นนานๆ, การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เป็นต้น

- เริ่มต้นใส่ใจสุขภาพกันแต่วันนี้ ด้วยการชักชวนทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ อาทิ ออกกำลังกาย เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารทะเล ซึ่งมีธาตุสังกะสีมาก ธาตุตัวนี้นักวิจัยพบแล้วว่า มีส่วนช่วยเพิ่มพลังการผลิตเชื้ออสุจิด้วยค่ะ

ที่ยกมาเป็นแค่ตัวอย่างให้ลองนำไปปฏิบัติดู หากใครมีเทคนิคที่ได้ผลอย่างอื่นจะเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ได้นะคะ ส่วนภาวะมีบุตรยากที่จัดเป็นปัญหาใหม่ของคนเมืองหลวงนั้น เป็นปัญหาที่ต้องให้คุณหมอช่วยแก้ไข สามีภรรยาคู่ไหนประสบปัญหานี้ควรจูงมือกันไปปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุดค่ะ

เริงร่า...ท้าแดด


คุณผู้อ่านที่เตรียมแพ็คกระเป๋าหนีร้อนไปเริงร่าท้าแดด
รู้มั้ยว่า...แสงแดดประกอบด้วย แสงอุลตราไวโอเลต (ยูวีเอ และยูวีบี)
ที่สามารถส่องผ่านผิวชั้นบน เป็นเหตุให้ผิวไหม้เกรียม เกิดฝ้า กระ หรือริ้วรอยก่อนวัย
นอกจากนั้นยังสามารถทะลุผ่านชั้นผิวที่ลึกลงไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นของผิวที่มีสุขภาพดีและแลดูอ่อนวัยด้วยค่ะ
การป้องกันผิวพรรณมิให้ถูกทำลายจากแสงแดด วิธีที่ดีที่สุดคือ
หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีแดดจัดมากๆ (ช่วง 10.00-15.00 น.)
แต่ไปเที่ยวทั้งทีคงเลี่ยงแดดได้ยาก เช่นนั้นมาหาทางป้องกันไม่ให้ผิวสัมผัส
แสงแดดโดยตรงจะดีกว่าค่ะ การป้องกันทำได้หลายวิธี เช่น สวมหมวก
กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว-กางเกงขายาว หรือใช้ครีมกันแดด
ครีมกันแดดมักผสมสารป้องกันแดด 2 ชนิด คือ สารกันแดดชนิดสะท้อนแสง
และชนิดดูดซับแสง การผสมตัวยาหลายชนิดมีส่วนดีตรงทำให้มีฤทธิ์
ป้องกันแสงได้ดีขึ้น สำหรับครีมกันแดดที่ดี ควรป้องกันได้ทั้ง ยูวีเอ และ ยูวีบี
ทั้งมีความสามารถในการป้องกันแสงแดดหรือที่ได้ยินกันบ่อยๆ ว่า
ค่า SPF นั่นแหละค่ะ (SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor
เป็นค่าแสดงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดได้เป็นจำนวนเท่า
เมื่อเทียบกับที่ไม่ได้ใช้ครีม) โดยทั่วไป แสงแดดในบ้านเราใช้ครีมกันแดด
ที่มีค่า SPF 15-20 ก็เพียงพอค่ะ แต่ถ้าต้องออกแดดนานๆ
เช่น ไปเที่ยวทะเล อาจต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 25 หรือมากกว่านั้น
ที่สำคัญอย่าทาเฉพาะบริเวณหน้า ส่วนไหนที่สัมผัสแสงแดดทาให้หมด
เช่น บริเวณหู คอ แขน หลังมือ
หน้าร้อนนี้...หากจะหนีร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด อย่าลืมใส่ใจดูแลผิวพรรณ
ผิวสวยจะได้อยู่คู่คุณไปอีกนานๆ ค่ะ
คืนยิ้มสดใส...ให้ลูกน้อย




พ่อแม่ที่มีลูกเกิดมาพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ ย่อมมีความทุกข์ใจเป็นธรรมดา ไหนจะสงสารลูกน้อยที่เกิดมาไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ไหนจะกังวลว่าลูกจะมีปมด้อยเมื่อโตขึ้นหรือเปล่า การเลี้ยงดูก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเด็กไม่สามารถที่จะดูดนมได้ดีอย่างเด็กทั่วไป...สารพัดเรื่องให้กังวลค่ะ ส่วนตัวเด็กเองก็มีปัญหาจากสภาพความพิการที่เป็น เช่น ดูดนมได้ไม่ดีเหมือนเด็กปกติอย่างที่บอก บางรายอาจมีปัญหาความพิการร่วมในระบบอื่นๆ เช่น ความพิการทางหัวใจและระบบไหลเวียน ความพิการทางระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย รวมทั้งทางระบบประสาทและสมอง บางครั้งความพิการยังอาจส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง หรือแม้แต่การอักเสบของหูชั้นกลางก็เกิดได้บ่อยกว่าปกติ

รักษาแต่เนิ่น...ดีที่สุด

ความพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ สามารถผ่าตัดแก้ไขได้ แต่การรักษาควรรีบตัดสินใจทำแต่เนิ่นๆ ไม่ควรปล่อยปัญหาให้เนิ่นนานจนผ่านช่วงเวลาสำคัญไป ซึ่งพ่อแม่ควรมีความรู้ความเข้าใจในการรักษาและมารับการรักษาอย่างถูกต้องตามกำหนดเวลา ก็จะช่วยให้ลูกน้อยกลับมามีอวัยวะที่สมบูรณ์และใช้งานได้ทั้งปากและเพดาน รวมทั้งฟันและกระดูกใบหน้า เมื่อโตขึ้นก็จะมีลักษณะเกือบจะปกติ

นอกจากนั้นการที่พ่อแม่นำเด็กมาพบแพทย์ ไม่ใช่เฉพาะแค่รักษาอาการปากแหว่ง เพดานโหว่ แต่แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อค้นหาความผิดปกติร่วมอื่นๆ จะได้ทำการแก้ไขไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ

พบแพทย์...พบทางออก

เมื่อพ่อแม่นำเด็กมาพบแพทย์ ใช่ว่าจะทำการรักษาได้เลยนะคะ แพทย์จะต้องตรวจและประเมินก่อนว่าเป็นปากแหว่ง เพดานโหว่ชนิดใด โดยทั่วไปสามารถแยกได้ดังนี้


- ปากแหว่ง แบ่งออกเป็น : ปากแหว่งแบบสมบูรณ์ คือ แหว่งเข้าไปถึงรูจมูก และปากแหว่งแบบไม่สมบูรณ์ คือ แหว่งเฉพาะที่ริมฝีปาก ซึ่งการแหว่งอาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้

- เพดานโหว่ แบ่งออกเป็น : เพดานโหว่แบบสมบูรณ์ คือ โหว่ตั้งแต่ลิ้นไก่ถึงเพดานแข็งด้านหน้า และถึงเหงือกด้านหลัง และเพดานโหว่แบบไม่สมบูรณ์ คือ โหว่เฉพาะส่วนเพดานอ่อนด้านหลังเท่านั้น ซึ่งการโหว่อาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้

- ปากแหว่งเพดานโหว่ร่วมกับความผิดปกติของส่วนอื่นๆ ของใบหน้า เช่น กลุ่มความพิการใบหน้าชนิดต่างๆ, ความพิการของโรคที่เกี่ยวข้องกับขากรรไกรเล็กผิดปกติ เป็นต้น

ครั้นทราบว่าเป็นปากแหว่งเพดานโหว่ชนิดใดแล้ว ก่อนลงมือรักษาแพทย์จะตรวจสภาพร่างกายทั่วๆ ไปของเด็กว่ามีความพร้อมต่อการผ่าตัดมากน้อยเพียงใด ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการรักษาความพิการแฝงก่อน เช่น ความผิดปกติของหัวใจ ปอด ฯลฯ หรือรักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หายสนิทเสียก่อน เช่น ไข้หวัด ปอดอักเสบ หูอักเสบ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ส่งผลต่อการผ่าตัดและดมยาสลบ

ด้วยเหตุที่การผ่าตัดจะทำโดยการดมยาสลบทุกราย ฉะนั้น เด็กจะต้องงดน้ำ นม และอาการอื่นๆ อย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสำลักอาหารค่ะ

ผ่าตัด...ช่วงใดเหมาะสม

กรณีปากแหว่ง โดยทั่วไปช่วงเวลาเหมาะสมจะกำหนดอายุประมาณ 3 เดือน น้ำหนักเด็กมากกว่า 5 กก. ไม่มีปัญหาเรื่องซีดหรือการติดเชื้ออื่นๆ ในร่างกาย การผ่าตัดจะมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะความพิการของปากและจมูก รวมถึงความถนัดของแพทย์ แต่โดยทั่วไปแพทย์จะผ่าตัดโดยการเลื่อนกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และส่วนต่างๆ ที่อยู่ผิดที่ผิดตำแหน่งให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และใช้เนื้อเยื่อส่วนต่างๆ บนใบหน้ามาหนุนสร้างความนูน ความสูง ลักษณะของจมูกและริมฝีปาก ใช้เวลาทำประมาณ 1-2 ชั่วโมง

กรณีเพดานโหว่โดยไม่มีความพิการของปาก อายุที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดมักจะประมาณ 10 เดือน - 1 ขวบครึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กจะเริ่มใช้เพดานในการพูด หากเด็กได้รับการผ่าตัดที่สมบูรณ์แล้วโอกาสที่เด็กจะพูดได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติมีค่อนข้างสูง สำหรับวิธีการผ่าตัดนั้นแพทย์มักอาศัยเนื้อเยื่อของเพดานด้านข้างทั้งสอง เลาะออกจากกระดูกเพดานแล้วเลื่อนเข้ามาหากันตรงกลาง โดยการเลาะเนื้อเยื่อส่วนโพรงจมูก กล้ามเนื้อเพดาน และเยื่อบุเพดาน มาเย็บเข้ากันเป็นสามชั้น ที่สำคัญที่สุด คือ กล้ามเนื้อของเพดานอ่อนที่แพทย์จะพยายามซ่อมให้ได้กล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วนด้านข้างของเพดานที่แพทย์เลาะเลื่อนเข้ามานั้นจะค่อยๆ งอกเองจนเป็นเพดานเต็มผืนในที่สุด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน

กรณีปากแหว่ง เพดานโหว่ แพทย์จะทำการผ่าตัดเพดานหลังจากการผ่าตัดริมฝีปากประสบผลสำเร็จและได้ริมฝีปากที่สมบูรณ์แข็งแรงดีแล้วค่ะ โดยทั่วไปมักจะทำหลังการผ่าตัดริมฝีปากประมาณ 6 เดือนขึ้นไป

ใส่ใจต่อเนื่อง...หลังทำ

ภายหลังผ่าตัดจะต้องดูแลแผลริมฝีปากและเพดานให้ถูกต้อง พ่อแม่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการนี้ด้วย ถ้าดูแลไม่ดีอาจทำให้แผลหายช้า เกิดแผลอักเสบหรือแผลที่เย็บไว้แยกออกจากกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากในการแก้ไขภายหลัง ที่สำคัญผลการรักษาที่ได้จะไม่สมบูรณ์ รวมทั้งการใช้งานของเพดานหรือริมฝีปากก็อาจไม่ปกติได้

โดยทั่วไป แพทย์จะให้เด็กงดดูดนมนานประมาณ 1 เดือน จนกว่าแผลจะหายดีและแข็งแรงเพียงพอ ในช่วงนี้ควรเลี่ยงไปใช้ช้อน หรือหลอดหยดน้ำ หรือนมแทนไปพลางก่อน ส่วนการดูแลแผลผ่าตัดก็ทำไปตามที่แพทย์แนะนำ และควรมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา รวมถึงการรักษาต่อเนื่องอื่นๆ เช่น การฝึกการใช้ริมฝีปาก เพดาน การดูแลการจัดฟัน การผ่าตัดซ่อมแซมเหงือกหรือแก้ไขจมูกที่ยังไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กเติบโตพร้อมกับสภาพของใบหน้าและโครงสร้างส่วนต่างๆ ที่สมบูรณ์ที่สุด

....พ่อแม่ที่มีลูกพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ อย่ามัวแต่โทษเวรกรรม ความพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ รักษาได้

...ควรรีบนำเด็กมาพบแพทย์ก่อนจะผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญไป เพื่อรอยยิ้มที่สดใสของลูกน้อยค่ะ


วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

เมื่อประเดือน...มาทักทาย



...แม้สมัยนี้เด็กๆ จะมีสื่อให้เรียนรู้มากขึ้น ทว่าการมีประจำเดือนครั้งแรก (ร้อยละ 80 ของผู้หญิงจะมีประเดือนครั้งแรกเมื่ออายุระหว่าง 11-14 ปี) ยังนับเป็นประสบการ์แปลกใหม่และน่าตกใจอยู่ไม่น้อย ทันโรคกับวัยรุ่นฉบับนี้ ก็เลยจะพาน้องๆ ไปรู้จักกับประจำเดือน...เรื่องธรรมดาของผู้หญิง...ไม่ใช่ความเจ็บป่วย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องกันนะคะ

ประจำเดือน (จะเรียก รอบเดือน หรือ ระดู ก็ได้) หมายถึง การมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดทุกรอบเดือน เกิดจากมีการสลายตัวของเยื่อภายในโพรงมดลูก จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสาวจนกระทั่งถึงวัยหมดประจำเดือน ยกเว้นในระยะที่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นเท่านั้น โดยรอบประจำเดือน ควรอยู่ในช่วง 28 วัน เร็วหรือช้าไปไม่เกิน 7 วัน (28+7) ระยะเวลาที่มีเลือดออก ประมาณ 3-5 วัน จำนวนเลือดที่ออกประมาณ 100-150 ซีซี. หรือถ้าใช้ผ้าอนามัยก็ไม่เกิน 3 ผืนชุ่มๆ ต่อวัน

- ลักษณะของเลือดประจำเดือน ควรเป็นเลือดน้ำ ไม่ใช่เลือดลิ่ม วันแรกๆ จะมีสีแดงค่อนข้างดำ วันต่อมาค่อยๆ จาง และหมดไป อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย มากหรือน้อยแล้วแต่บุคคล เช่น มีอาการปวดท้องข้างในวันแรกๆ เพราะมดลูกจะบีบตัว บางคนอาจมีอาการนำมาก่อนการมีรอบเดือน เช่น หน้าอกคัดตึง หงุดหงิด ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย เหนื่อย เป็นต้น ก็ไม่ต้องตกใจกันนะคะ

รอบเดือน...รับมืออย่างรอบคอบ ดังนี้ค่ะ

- อาบน้ำชำระล้างร่างกายและอวัยวะเพศได้ตามปกติ แต่ไม่ควรอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัด เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้, ไม่ควรอาบน้ำในแม่น้ำลำคลองหรือสระว่ายน้ำ เพราะอาจมีสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคเข้าสู่ภายในช่องคลอดได้ค่ะ

- ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยใหม่ทุกครั้งเมื่อเปียกชุ่ม หรือเปลี่ยนทุก 3-4 ชั่วโมง ทุกครั้งที่เปลี่ยนควรล้างอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำและสบู่ และซับให้แห้งก่อนใช้ผ้าอนามัยผืนใหม่

- ผ้าอนามัยที่ใช้ควรเป็นแบบธรรมดาที่ซึมซับทางด้านนอก ไม่ควรใช้ชนิดสอดเข้าไปภายในช่องคลอด เพราะอาจลืมไว้นานเกินไปทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้

- ออกกำลังกายได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนัก และโลดโผนจนเกินไป

- หากมีอาการปวดท้อง อาจใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางบริเวณท้องน้อย ปกติอาการจะดีขึ้นได้ แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ ทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล 1-2 เม็ด ได้ค่ะ

- ควรบันทึกวันมาของประจำเดือนไว้ทุกๆ ครั้ง เพื่อให้ทราบว่าประจำเดือนมาสม่ำเสมอหรือไม่

- หากมีอาการผิดไปจากปกติมาก อาทิ ประจำเดือนมาล่าช้าไปมาก, ประจำเดือนออกมาผิดปกติ หรือมีอาการปวดท้องมากและเป็นทุกเดือน ควรบอกปัญหากับผู้ปกครองหรือปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูความผิดปกตินะคะ

น้องๆ ที่เพิ่งมีประจำเดือนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวให้เคยชินสักพัก นานวันเข้าการมีประจำเดือนก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ...จึงไม่ต้องเป็นกังวลกันนะคะ

สวยจรดปลาย...จมูก

จมูกที่ไม่มีดั้ง แบนบาน มักเป็นปัญหาของคนเอเซียอย่างเราๆ ท่านๆ มาแก้ไขจมูกที่เป็นจุดเด่นตรงกลางใบหน้าให้โด่งสวย และเรียวได้รูปรับสันจมูก ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ สวยคมเข้มขึ้น



เสริมจมูก...เสริมความมั่นใจ

การเสริมจมูกเป็นการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา ไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็นิยมทำกันมากขึ้น เพราะขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แถมทำออกมาแล้วช่วยให้สวยให้หล่อขึ้นทันตา

แต่ใครที่อยากเสริมจมูกก็ใช่ว่าจะไปพบแพทย์ขอทำกันได้เลย แพทย์จะพิจารณาถึงอายุของผู้ที่ต้องการเสริมจมูกด้วย โดยทั่วไปคนไข้ควรมีอายุอย่างน้อย 16 ปีขึ้นไป ใครที่ยังอายุต่ำกว่านี้ก็ควรอดใจรอสักนิด

ส่วนมากแพทย์จะเลือกวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกเป็น ซิลิโคลนแท่ง (Silicone) ข้อดีของซิลิโคนแท่งซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์ (Synthetic prothesis) ก็คือ จะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายมนุษย์น้อยมาก ทำให้ร่างกายสามารถรับและห่อหุ้มแท่งซิลิโคนให้ยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ดี จริงๆ แล้ววัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกไม่ได้มีเฉพาะซิลิโคนแท่งเท่านั้น บางครั้งก็อาจนำมาจากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด เช่น กระดูก, กระดูกอ่อน ฯลฯ แต่วิธีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เสริมจมูกคนไข้ที่มีจมูกผิดรูปเนื่องจากอุบัติเหตุหรือแก้ไขความพิการจากสาเหตุต่างๆ ไม่เหมาะสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูกเพื่อความงามในบุคคลทั่วๆ ไปที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้

ขั้นตอนการเสริมจมูก

คนไข้ต้องมีการเตรียมตัวก่อนทำเช่นเดียวกับการผ่าตัดอย่างอื่น เป็นต้นว่า แจ้งให้แพทย์ทราบหากเคยผ่าตัดอะไรเกี่ยวกับจมูกมาก่อน มีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาอะไรอยู่ และที่ขาดเสียมิได้ก็คือ แพทย์จะตรวจสอบโครงสร้างของจมูก เนื้อเยื่อในโพรงจมูกด้านนอก รวมถึงพิจารณาถึงโครงสร้างรูปหน้าคนไข้อย่างละเอียดเพื่อว่าเวลาทำออกมาแล้วจะได้ดูดี ดูสวยรับกับรูปหน้า เรื่องของความโด่งแล้วดูดี ดูสวยนี้ นานาจิตตังค่ะ บางทีหมอว่าสวย คนไข้อาจไม่ชอบ ดังนั้น คงต้องพบกันครึ่งทางหรือหาจุดร่วมที่พอดีจะได้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

การผ่าตัดเสริมจมูกมีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน เพียงชั่วโมงเดียวก็แล้วเสร็จ คนไข้จึงสามารถรับการผ่าตัดได้เลย เริ่มจากแพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้น เพื่อลดความวิตกกังวล และขณะฉีดยาชารอบจมูกจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นจะเปิดแผลผ่าตัด (อาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้) บริเวณขอบรูจมูกยาวประมาณ 1 ซม. เพื่อผ่าตัดสร้างช่องว่างที่สันจมูกใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก ให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่ตกแต่งเป็นอย่างดีแล้วเข้าไป หลังตรวจสอบความเรียบร้อยจึงจะเย็บปิดแผล ปิดตามด้วยพลาสเตอร์หรือเฝือกจมูกเพื่อป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวม

การดูแลหลังเสริมจมูก

คนไข้ต้องนอนพักราว 1 ชม. เพื่อให้ยานอนหลับหมดฤทธิ์เสียก่อน จึงจะกลับบ้านได้ จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของคนไข้ที่ต้องดูแลตัวเองต่อ เป็นต้นว่า ในช่วงวันสองวันแรกให้พยายามประคบผ้าเย็นบ่อยๆ หลังจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นแทน, นอนศีรษะสูง, ในช่วง 2 สัปดาห์แรกให้หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และกลับมาพบแพทย์ตามนัด

โดยทั่วไป จมูกจะบวมประมาณ 2-3 วัน ในวันที่ 4 ก็จะเริ่มยุบบวม แต่ถ้าจะให้เข้าที่ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในช่วงนี้ให้ระมัดระวังเรื่องการโดนกระแทก เพราะแท่งซิลิโคนจะถูกเนื้อจมูกห่อหุ้มจนแน่นและสามารถทนแรงกระทบได้มากๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน

เห็นง่ายๆ อย่างนี้แต่อย่าประมาทเด็ดขาด ถ้าจะทำก็ควรเลือกศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือทันสมัย ขอให้ยึดความปลอดภัยเป็นที่ตั้งมากกว่าเม็ดเงินในกระเป๋าที่จะเสียไป หรือเอาสะดวกเข้าว่านะคะ จะได้ไม่มีปัญหามาให้หมอเวียนแก้ เช่น ปัญหาจมูกคดเอียง จมูกสูงหรือต่ำเกินไป ปลายจมูกบางแต่ยังไม่ทะลุแล้ว รวมถึงจมูกมีการติดเชื้ออักเสบ อย่างที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งให้เห็นอยู่ประปรายค่ะ

จมูกเรียวสวย...ด้วยการตัดปีกจมูก

บางคนเกิดมามีดั้ง ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสริมจมูก แต่ดันปัญหาเรื่องปีกจมูกมาให้หนักใจก็มี อย่างคนที่มีปีกจมูกกางใหญ่จนเห็นรูจมูกกว้างเป็นปากถ้ำ แทบว่าจะแลเห็นขนทุกเส้น แทนที่จมูกซึ่งน่าจะเป็นจุดเด่นตรงกลางใบหน้าจะได้เด่นสมใจ ก็เลยกลายมาเป็นจุดด้อยให้พวกปากอยู่ไม่สุขล้อเลียนเอาเสียอีก

ถ้าเช่นนั้นจะปล่อยให้ปัญหามันคาใจอยู่ทำไมล่ะคะ ยิ่งถ้าคุณส่องกระจกเห็นทุกๆ วันแล้วรู้สึกรับรูปทรงของจมูกตนเองไม่ได้ ก็มาพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขเสียเถอะค่ะ การผ่าตัดตกแต่งปีกจมูกที่กว้างทำได้และไม่มีอะไรยุ่งยากเลย ผลที่ได้ก็คือคุณจะได้จมูกที่เรียวได้รูปทรงรับกับสันจมูก ลดรูจมูกที่ใหญ่ จึงช่วยเพิ่มความสวยงามลงตัวให้กับใบหน้า

โดยทั่วไป การลดขนาดปีกจมูกมักจะแก้ไขเฉพาะส่วนปีกด้านข้าง ซึ่งมีผิวหนังและกล้ามเนื้อเท่านั้น และแผลผ่าตัดทั้งหมดจะซ่อนไว้บริเวณขอบปีกจมูก ทำให้เห็นแผลได้ยากมาก ยิ่งคุณผู้หญิงยิ่งหายห่วง ใช้แป้งรองพื้นกลบเสียหน่อยก็เนียนจนจับไม่ได้แล้วล่ะค่ะ

เตรียมให้พร้อมก่อนทำ

คนที่อยากผ่าตัดปีกจมูกจะต้องให้แพทย์ตรวจลักษณะของปีกจมูกเสียก่อน เพื่อวางแผนการรักษาให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมไปถึงการซักประวัติความเจ็บป่วย โรคประจำตัว ฯลฯ ถึงตอนนี้อย่าเพิ่งหงุดหงิดรำคาญไปเสียก่อน ที่ทำก็ล้วนแต่ประโยชน์กับตัวคุณเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเพื่อผลการรักษาที่น่าพอใจหรือในแง่ของความปลอดภัยก็ตาม

ขั้นตอนการผ่าตัด

โดยทั่วไป การผ่าตัดปีกจมูกจะใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณปีกจมูก แต่คนไข้อาจรู้สึกเจ็บขณะฉีดยาและมีความวิตกกังวล ดังนั้น แพทย์จะให้ยานอนหลับชนิดที่มีฤทธิ์สั้นนำไปก่อน เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้วจึงจะทำการผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออกและจัดฐานปีกจมูกรวมทั้งกำหนดความกว้างของรูจมูกใหม่ก่อนจะเย็บปิดแผล โดยซ่อนรอยแผลไว้บริเวณขอบของปีกจมูกอย่างที่บอกไป ส่วนวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผลขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ถ้าจะต้องมีการตัดไหม แพทย์ก็จะนัดมาในอีก 5-7 วันค่ะ ปกติขั้นตอนการผ่าตัดทั้งหมดจะใช้เวลาเพียง 30-40 นาทีเท่านั้น หลังทำแพทย์จะให้นอนพักประมาณ 1 ชม. จนกว่ายานอนหลับจะหมดฤทธิ์ จากนั้นจึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้

การดูแลหลังทำ

เมื่อกลับบ้านควรดูแลตัวเองต่อตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นต้นว่า ในช่วง 2-3 วันแรก พยายามประคบผ้าเย็นบ่อยๆ และนอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวม ใครที่ไม่เคยชินกับการนอนศีรษะสูงก็อดทนสักนิดนะคะ ส่วนแผลผ่าตัดไม่ควรถูกน้ำและให้ใช้ไม้พันสำลีป้ายยาหรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้งหรือตามแพทย์สั่ง อย่าลืมทานยาตามแพทย์สั่งและมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตัดไหม





ใครที่มีปัญหาปีกจมูกกว้างใหญ่จนรู้สึกว่าเป็นปมด้อย อ่านแล้วก็ลองไปปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูนะคะ เพราะการผ่าตัดไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย แถมยังช่วยให้คุณได้รูปจมูกที่เรียวสวยลงตัวรับกับใบหน้าอย่างที่คุณต้องการ ช่วยเรียกความมั่นใจให้คุณได้แน่นอน

เอาล่ะค่ะ...ที่นี้คงจะมีทางออกกันแล้วสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องจมูก

...คนดั้งแบน ก็ผ่าตัดเสริมจมูกให้โด่ง

...บางคนมีดั้งโด่ง แต่ปีกจมูกกว้าง อย่างนี้หมอจะผ่าตัดปีกจมูกอย่างเดียว

....บางคนดั้งก็ไม่มี ปีกจมูกก็บานกว้าง อย่างนี้หมอต้องผ่าตัดคู่ คือเสริมจมูกให้ และตัดปีกจมูกออกด้วย จะได้จมูกโด่ง เรียวสวยอย่างที่ต้องการค่ะ

สเต็มเซลล์ (Stem cell)



อ่านจั่วหัวเรื่องแล้วหลายท่านอาจจะยังงงๆ คงต้องยอมรับว่า เรื่องของสเต็มเซลล์ยังเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ อยู่น้อยมาก ลองไปถามดูเถอะ ร้อยทั้งร้อยแทบไม่รู้จัก ยกเว้นว่าจะเป็นคนที่อัพเดทข่าวสารในแวดวงการแพทย์เป็นประจำนั่นแหละ ถึงจะพอผ่านหูอยู่บ้าง เช่นการรักษาโรคโดยใช้สเต็มเซลล์ การเก็บสเต็มเซลล์ไว้เพื่อใช้ในอนาคต เป็นต้น

สเต็มเซลล์คืออะไร?

สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวและเติบโตเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้หลายชนิด ซึ่งแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์มาจาก 2 แหล่ง คือ

1. สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ (embryonic stem cell) เป็นเซลล์ที่มีศักยภาพพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้ทุกชนิด เช่น เจริญไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ตับอ่อน ตับ ปอด ไทรอยด์ กระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ผิวหนัง สมอง เป็นต้น แต่ยังไม่สามารถนำมาใช้หรือรักษาได้เนื่องจากติดปัญหาด้านกฎหมายและศีลธรรม

2. สเต็มเซลล์จากร่างกาย (Adult stem cell) มีศักยภาพเปลี่ยนไปเป็นเซลล์อื่นได้จำกัดเพียงไม่กี่ชนิด เนื่องจากเป็นสเต็มเซลล์ที่ได้จากเซลล์เนื้อเยื่อที่โตเต็มวัยแล้ว เช่น สเต็มเซลล์จากเลือดในสายสะดือของทารกแรกเกิด หรือจากไขกระดูก เป็นต้น ซึ่งการนำมาใช้ไม่ได้เป็นการทำลายชีวิตเหมือนสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน จึงไม่มีปัญหาทางกฎหมายและศีลธรรม

สเต็มเซลล์...ความหวังในการบำบัดโรค

จากคุณสมบัติพิเศษของสเต็มเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวและเติบโตเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ดังกล่าว จึงมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรค ที่ได้ยินบ่อยๆ แต่เราอาจไม่ทราบก็อย่างการนำสเต็มเซลล์จากไขกระดูกมาปลูกถ่ายเพื่อรักษาผู้ป่วย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย

แม้ว่าทุกวันนี้จะมีรายงานทางการแพทย์ออกมาเรื่อยๆ ถึงความสำเร็จของการรักษาโรคต่างๆ ด้วยสเต็มเซลล์ แต่เท่าที่วงการแพทย์ยอมรับการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรคแล้วได้ผลจริงก็เฉพาะในโรคเลือดเท่านั้น เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม และผู้ป่วยที่ไขกระดูกถูกทำลายจากยารักษามะเร็งค่ะ

ถึงจะมีข้อจำกัดด้านการรักษา ณ เวลานี้ แต่ด้วยคุณสมบัติอันมหัศจรรย์ของสเต็มเซลล์ วงการแพทย์คาดหวังว่า หากได้มีการศึกษาสเต็มเซลล์อย่างจริงจัง ก็อาจสามารถพัฒนาองค์ความรู้ในการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาอาการป่วยอันเนื่องมาจากเซลล์ เนื้อเยื่อ หรือ อวัยวะที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพได้ ด้วยการพัฒนาไปเป็นอวัยวะตามต้องการ คล้ายๆ กับการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์อะไรทำนองนั้น เช่น ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ก็นำสเต็มเซลล์มากระตุ้นให้กลายเป็นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ และฉีดเข้าไปในหัวใจเพื่อสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่ ทำให้หายจากโรคได้ เป็นต้น แต่กว่าจะถึงวันนั้น คงต้องร้องเพลงรอกันไปพลางๆ ก่อนค่ะ

สเต็มเซลล์เป็นความหวังในการบำบัดรักษาโรค ซึ่งไม่แน่ว่า...ในอนาคตโรคที่รักษาหายยากหรือไม่หายขาด เช่น โรคตับ โรคเบาหวานแต่กำเนิด โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ อาจจะรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้สเต็มเซลล์ ปัจจุบันจึงมีบริการเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือไว้ให้ลูกน้อยเหมือนกับการประกันชีวิตให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด เผื่อว่าต่อไปในอนาคตเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมา ก็จะได้เอาสเต็มเซลล์ที่เก็บไว้มาใช้รักษาได้ ซึ่งบ้านเราก็มีบริการนี้เช่นกัน ใครสนใจลองศึกษาหาข้อมูลดูค่ะ