วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ศัลยกรรม...รักษาใบหน้าที่เสียโฉม



เมื่อ "ศัลยกรรมตกแต่ง" ไม่ใช่แค่การยกเครื่องเรื่องความงามของผู้หญิง แต่ช่วยแก้ไขความพิการที่สร้างความทุกข์ระทมให้กับผู้ป่วย เฉกเช่นชีวิตของเด็กสาววัยสดใสคนหนึ่งที่ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน...ทำให้ใบหน้าของเธอเสียโฉมจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ แต่ด้วยศัลยกรรมตกแต่งทำให้เธอกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

คงต้องยอมรับว่า สมัยนี้การทำศัลยกรรมตกแต่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่เฉพาะในสังคมไทย บ้านอื่นเมืองอื่นก็นิยมทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่ามครต่างก็อยากมีรูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้น บางคนทำศัลยกรรมมาแล้วจำแทบไม่ได้เพราะสวยหล่อขึ้นผิดตา ทุกวันนี้การทำศัลยกรรมจึงไม่ได้จำกัดวงเฉพาะคนที่ประกอบอาชีพที่ต้องอาศัยบุคลิกรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก อาทิ ดารา นักร้อง นักแสดง ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ อย่างเดียว คนทั่วๆ ไปที่อยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้น ก็หันมาพึ่งศัลยกรรมตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูก ทำตาสองชั้น เสริมคาง ดึงหน้า ดูดไขมัน เป็นต้น ยิ่งสมัยนี้เทคนิคการทำศัลยกรรมมีการพัฒนาและทันสมัยมากขึ้น กระทั่งสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการสร้างทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม หรืออิทธิพลจากบุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติพี่น้อง เพือน หรือคนรู้จัก ที่เคยทำศัลยกรรมแล้วดูดีขึ้นสวยขึ้น ล้วนมีส่วนผลักดันให้คนกล้าตัดสินใจลุกขึ้นมาทำศัลยกรรมกันมากขึ้นค่ะ

ศัลยกรรม...ทำเพื่อใคร?

แน่นอนว่ากลุ่มใหญ่ของคนที่ทำศัลยกรรมก็คือ คนทั่วๆ ไปที่อยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนให้ดูดีขึ้น อันนี้เข้าใจได้ไม่ยากค่ะ คนเราเกิดมาไม่มีใครสวยหล่อสมบูรณ์แบบ บางคนตาตี่ บางคนดั้งแบน บางคนก็อกแฟบ ฯลฯ ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นปมด้อยที่ทำให้ขาดความมั่นใจ ทำให้คนหันมาพึ่งพาศัลยกรรมตกแต่งเพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องให้มีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้นับวันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกกลุ่มเป็นกลุ่มของผู้ป่วยจริงๆ ไม่ใช่คนทั่วไปอย่างกลุ่มแรก กลุ่มนี้ทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขความผิดปกติหรือความพิการของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นมาแต่กำเนิด หรือมาเกิดขึ้นภายหลังเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น เด็กที่เกิดมาพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ หรือผู้ได้รับอุบัติเหตุ ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ บนใบหน้า หรือรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิต หรือไม่ผู้ป่วยก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับสภาพความผิดปกติที่เป็นจนไม่อาจใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ สำหรับคนกลุ่มนี้ การทำศัลยกรรมตกแต่งกลายเป็นทางออก ที่จะช่วยแก้ไขและปรับเปลี่ยนสภาพความผิดปกติทางร่างกายให้กลับคืนใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด ช่วยลดปมด้อยสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั่งค่ะ

อย่างไรก็ตาม สองกลุ่มที่ว่านี้สัดส่วนต่างกันค่อนข้างเห็นเด่นชัดโดยปริมาณจะเทไปทางกลุ่มแรกเสียมาก กลายเป็นว่า พอพูดถึงศัลยกรรมคนส่วนใหญ่เลยติดภาพว่า เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความงามอย่างเดียว ทั้งที่การทำศัลยกรรมไม่ได้ยังประโยชน์แค่ในกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความงามเท่านั้น ดังเช่น "การทำศัลยกรรมตกแต่งในผู้ป่วยที่ใบหน้าเสียโฉม" ที่เราจะพูดถึงกันต่อไป

ศัลยกรรมตกแต่ง...ใบหน้าที่เสียโฉม

การทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าในผู้ป่วยที่เสียโฉม เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำศัลยกรรมตกแต่งมาใช้ในทางสร้างสรรค์ โดยการรักษาต้องอาศัยทั้งฝีมือของศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเวลา ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายขั้นตอนกว่าที่ผลการรักษาจะออกมาน่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการรักษาผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนี่คือเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ชีวิตต้องตกอยู่ในสภาพการณ์อันเลวร้าย แต่พลิกฟื้นกลับมาได้ด้วยศัลยกรรมตกแต่ง

ฝันร้าย...มาเยือน

จากเด็กสาววัยรุ่นที่ร่าเริงสดใส ด้วยวัยเพียง 14 ปี ชีวิตดำเนินไปเยี่ยงปกติเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอก็พลิกผันสุดหยั่งคาด โชคชะตาเหมือนจะเล่นตลก เธอประสบอุบัตืเหตุโดนน้ำกรดใส่ยางพาราระเบิดใส่ใบหน้าและลำตัว นับแต่วินาทีนั้น ชีวิตของเด็กสาวเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ได้ให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่เธอต้องเสียโฉมจนมิอาจเยียวยาให้กลับคืนมาดังเดิมได้ ทุกวันที่ได้เห็นใบหน้าตัวเองเป็นสภาพที่เกินจะทนทานรับได้ เด็กสาวต้องแบกความทุกข์ใจเอาไว้อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งโอกาสในชีวิตเปิดขึ้นอีกครั้ง

ขั้นตอนการรักษา

แพทย์ได้ทำการตรวจและให้การวินิจฉัยว่า เธอมีบาดแผลของการเผาไหม้ของสารเคมีบนใบหน้า แขนซ้าย ไหล่ ขา และลำตัวประมาณ 25% (25% Third degree Burn Chemical at Face, Left, arm, forearm, hand, Right shoulder, Right leg) ส่วนการทำงานของอวัยวะของร่างกายที่โดนน้ำกรดลวก เช่น การมองเห็น การดมกลิ่น การได้ยิน หรือการทานอาหาร มีปัญหาบ้างแต่การทำงานยังปกติดีอยู่ นับว่ายังโชคร้ายไม่ถึงที่สุด


และจากการตรวจร่างกายพบว่า ใบหน้าของเธอแทบจะไม่มีเนื้อดีเหลืออยู่ มีแผลเป็นนูนและดึงรั้งจากน้ำกรด (acid burn) ทำให้ใบหน้าผิดรูปไปมาก หางตาด้านซ้ายผิวหนังหดรั้งมาก ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ จมูกยุบยวบลงไปจนไม่มีลักษณะหรือโครงสร้างเดิม และมุมปากหดรั้งทำให้ไม่สามารถอ้าปากได้เต็มที่

เมื่อประเมินสภาพปัญหาแล้วแพทย์ได้วางแผนการรักษา โดยเลือกเทคนิคการรักษาที่จะช่วยให้ใบหน้าของผู้ป่วยกลับมาอยู่ในสภาพดีที่สุด ดังนี้

ใบหน้าด้านซ้ายบริเวณแก้ม มีแผลเป็นนูนใหญ่ กินเนื้อที่กว้างไม่มีเนื้อดีเหลือเลย จำเป็นต้องตัดแผลเป็นออกทั้งหมด แล้วใช้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องมาปิดตามแนวที่จะทำให้แผลเป็นสวยที่สุด ซึ่งหลังการรักษาเนื้อเยื่อมีการติดกันดีไม่มีการอักเสบ ผิวหนังจากท้องได้มาทดแทนผิวหนังบริเวณแก้มซ้ายที่นูนผิดปกติอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นจึงทำการรักษาใบหน้าบริเวณด้านขวา ซึ่งมีเนื้อดีเหลือไม่มากนัก ในการรักษาจำเป็นต้องใช้เนื้อดีที่มีอยู่ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด แพทย์จึงใช้วิธีที่เรียกว่า Tissue Expansion คือการใส่เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเพิ่มเนื้อเยื้อ ในกรณีนี้แพทย์ได้ใส่ลูกโป่งทางการแพทย์ 2 ลูก เข้าไปขยายเนื้อดีที่เหลืออยู่ โดยผู้ป่วยจะต้องเข้ามารับการฉีดน้ำเกลือเข้าไปในลูกโป่งทุกสัปดาห์ เพื่อให้ได้เนื้อเยื่อมากที่สุดที่จะสามารถนำไปปิดบริเวณหน้าด้านขวาได้ จากนั้นทำการตัดแผลเป็นนูนออกและยึดเนื้อดีที่เกิดจากการขยายตัวด้วยลูกโป่งเข้าไปปิดแทน

บริเวณหางตาด้านซ้ายที่ผิวหนังหดรั้งมาก ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ แพทย์ทำการแก้ไขโดยการผ่าตัดด้วยวิธี Z-plasty ซึ่งการผ่าตัดลักษณะนี้แผลผ่าตัดจะเป็นรูปซิกแซก (Zigzag) ช่วยลดการดึงรั้งบริเวณหางตาได้ค่ะ

ลำดับต่อมาคือ การทำจมูกใหม่เนื่องจากจมูกไม่มีรูปร่างเดิมหลงเหลืออยู่เลยโดยวิธี Scalp Flap เป็นการตัดหนังศีรษะจากบริเวณด้านข้างของศีรษะมาปลูกเนื้อเยื่อบริเวณจมูกแล้วดึงหนังกลับไปเหมือนเดิม เพื่อให้ได้รูปจมูกที่ดูใกล้เคียงปกติมากที่สุด

หลังขั้นตอนการรักษาสำคัญๆ ผ่านพ้นไป คงเหลือการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างแผลเป็นนูนบางแห่งก็พิจารณาฉีดยาให้ยุบลง หรืออย่างสีผิวหนังที่ยังไม่สม่ำเสมอ ก็ใช้วิธีทางการแพทย์ช่วยได้ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคงเค้าใกล้เคียงรูปหน้าเดิมมากที่สุดนั่นเอง

ก้าวสู่...ชีวิตใหม่

กว่า 2 ปีที่เข้ารับการรักษา นับเป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่า แม้การรักษาจะไม่ได้ผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเยียวยาให้ใบหน้าของเธอมีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ปัจจุบัน เด็กสาวกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง สามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจมากขึ้น ไม่ต้องคอยหลบหน้าผู้คนอีกต่อไป ส่วนการรักษาทางการแพทย์ยังคงต้องมาพบแพทย์เป็นระยะ เพื่อติดตามผลการรักษา ล่าสุดเราได้รับทราบข่าวดีว่าเธอได้สร้างครอบครัวของเธอเอง มีบุตรน้อยที่น่ารักเป็นเสมือนของขวัญมาช่วยลบเลือนฝันร้ายที่ผ่านมา..


















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น