วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553


สิทธิพิเศษ


ส่วนลด 10% ทุกศูนย์การรักษา (4/3B)
ระยะเวลาโปรโมชั่นถึง 30 กันยายน 2553
เลือกสวยได้ราคาเดียว 8,500 บ. ไม่ว่าจะเป็นเสริมจมูกซิลิโคน
มาตรฐานทั่วไป/ตา2ชั้น/เก็บถุงใต้ตา/ทำลักยิ้ม(1ข้าง)
ที่...โรงพยาบาลยันฮี

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คำตอบจากแพทย์




พิษสุนัขบ้า

Q : ผมอยากทราบว่า โรคพิษสุนัขบ้านอกจากจะมีสาเหตุจากถูกสุนัขกัดแล้ว ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่มีเชื้อโรคนี้อีกหรือไม่ และถ้าผมถูกกัดหรือโดนสุนัขข่วน ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

A : สาเหตุของการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าไม่เพียงแต่จากถูกสุนัขกัดตามชื่อโรคเท่านั้นสัตว์ประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมหรือสัตว์แทะ เช่น แมว วัว ควาย แพะ แกะ ลิง ค้างคาว กระรอก เป็นต้น สัตว์จำพวกนี้มีเชื้ออยู่ในน้ำลายเช่นกัน และเชื้อจะสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล ผิวหนังโดยถูกสัตว์กัด ข่วน ถึงแม้จะเป็นเพียงแผลถลอกเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ถ้าถูกสัตว์เลียบนบาดแผล เชื้อก็สามารถเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า คือ การรับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรค นอกจากนี้การดูแลบาดแผลก็เป็นสิ่งสำคัญ หลังสัมผัสโรคควรทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลายๆ ครั้ง แล้วรีบพามาพบแพทย์ทันที ขอย้ำอีกครั้งว่า เมื่อสัมผัสกับสัตว์เหล่านี้ไม่ควรประมาท เพราะเมื่อโรคนี้แล้ว และผู้ป่วยเริ่มมีอาการแสดงของโรคมักจะเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่วันครับ

ฟันห่าง

Q :ดิฉันมีปัญหาฟันหน้าห่างมาก รู้สึกอายเวลายิ้ม หรือพูดคุยกับใครๆ เพื่อนๆ ก็ชอบล้อจนหมดความมั่นใจ อยากทราบวิธีแก้ไขค่ะ

A : การแก้ไขปัญหาฟันห่างมีวิธีการรักษาได้หลายวิธี เช่น ใช้วิธีจัดฟัน การถอนฟันเพื่อใส่ฟัน และปัจจุบันมีวิธีการที่ทันสมัยโดยการใช้วัสดุปิดช่องห่างของฟัน ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขที่ทำได้ง่าย สะดวกปลอดภัย และวัสดุที่ใช้ปิดช่องว่างนี้จะมีคุณสมบัติยึดติดกับฟันได้ดีและให้สีเหมือนธรรมชาติ นอกจากนี้การปิดช่องว่างทำบนผิวเคลือบฟัน จึงไม่มีปัญหาเสียเนื้อฟันและจะไม่รู้สึกเจ็บ อีกทั้งไม่มีผลต่อโครงสร้างของฟัน หลังทำแล้วคุณสามารถใช้งานได้ทันที และสามารถอยู่ได้นานหลายปีเลยทีเดียว ถ้าสนใจลองมาปรึกษาทันตแพทย์ดู ต่อไปคุณก็จะยิ้มได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องอายหรือกลัวใครล้อเลียนอีกแล้วค่ะ




















เติมรสชาติให้...ชีวิตคู่




คู่สามีภรรยาอยู่กันมานาน ก็เหมือนน้ำพริกถ้วยเก่า เริ่มจืดชืดหมดรสชาติ ความหวานแหววที่เคยมีไม่รู้หล่นหายไปไหนหมด สามีภรรยาบางคู่แต่งงานกันมา 5 ปี บ่นเบื่อกันแล้ว เบื่อหน่ายหนักๆ เข้าอยากกลับไปเป็นคนโสดเหมือนเก่าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็มี แหม ฟังดูเหมือนว่าชีวิตคู่จะส่อสัญญาณไม่น่าไว้วางใจเสียเลย อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ค่ะ สถานการณ์ชีวิตคู่ของคุณอาจไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คุณคิด

อันที่จริงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ชีวิตคู่ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง คู่สามีภรรยาที่ร่วมชีวิตกันมานานจะให้คงความหวานเหมือนสมัยคบกันใหม่ๆ ก็คงจะไม่ใช่ แต่การปล่อยให้สถานการณ์ที่ว่าดำเนินไปก็คงไม่ดีแน่ ถ้ายังไงมาเติมรสชาติความหวานเพื่อให้ชีวิตคู่ของคุณกลับมามีความโรแมนติคอีกครั้งค่ะ

  • คงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง" ชีวิตคู่ก็เช่นกันค่ะ ถ้าคุณจะเริ่มต้นสร้างความหวานให้ชีวิตคู่อีกครั้ง คงต้องร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายจึงจะเห็นผล

  • เปิดเผยความรู้สึกของคุณให้อีกฝ่ายได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมา แล้วหาจุดสมดุลร่วม จะได้ไม่เป็นการฝืนใจใครคนใดคนหนึ่ง

  • ถ้าหน้าที่การงานหรือภาระต่างๆ รัดตัวจนทำให้คุณสองคนมีเวลาให้กันน้อยลง ลองจัดสรรเวลาใหม่ เพื่อให้มีเวลาเป็นส่วนตัวมากขึ้น

  • ทำกิจกรรมร่วมกันแบบคู่รักทั่วไป เช่น หาเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองให้มากขึ้น มีนัดพิเศษนอกบ้าน เช่น ไปทานข้าว ดูหนัง ฟังเพลง โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโอกาสพิเศษใดๆ

  • มีเวลาให้กันในเรื่องเซ็กซ์ และลองปรับเปลี่ยนเทคนิคในเรื่องนี้ดูบ้าง เช่น เปลี่ยนสถานที่หรือบรรยากาศในการทำกิจกรรมทางเพศ คุณผู้หญิงอาจสร้างความเซ็กซี่ด้วยชุดนอน หรือชุดชั้นในวาบหวาม ชวนวาบหวิว อาบน้ำด้วยกันหรือผลัดกันนวด เป็นต้น

  • สร้างเสน่ห์ให้ตัวเองด้วยการดูแลรูปร่างทรวดทรงให้ดูดีอยู่เสมอ รูปลักษณ์ภายนอกเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแต่งงานกันมานานก็อย่ามองข้ามค่ะ

วิธีแนะนำมาข้างต้นอาจไม่ง่ายในทางปฏิบัติ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเขินอาย หรือไม่กล้าเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมที่ตนเองเคยชินอยู่ ถ้าไม่อยากให้ชีวิตคู่ซ้ำซากจำเจอยู่ที่เดิมจนกลายเป็นความจืดจาง ลองปรับเปลี่ยนทัศนคติทดลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำดูบ้าง อาจพบความแปลกใหม่นำพาให้ชีวิตคู่มีรสชาติมากขึ้น

เอาล่ะค่ะ มาเริ่มต้นปรับจูนชีวิตคู่ระหว่างกันเสียแต่วันนี้ อย่าปล่อยให้ความรู้สึกเบื่อหน่ายกินลึกไปเรื่อยๆ เพราะถ้าถึงจุดที่ทนไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ ชีวิตคู่อาจถึงกาลอวสานได้ค่ะ

วัยรุ่นกับรอยสัก

วัยรุ่นอยากรู้อยากลอง อยากทำอะไรที่ดูโก้เก๋ เราจึงได้เห็นวัยรุ่นชายหญิงสักลวดลายลงบนตัว มากบ้าง น้อยบ้าง เช่นบางคนสักรูปหัวใจไว้ที่หน้าอก บางคนสักลวดลายเต็มแขนทั้งสองข้าง เป็นต้น แรกๆ รอยสักก็อาจดู เท่ดี แต่นานวันเข้ารอยสักอาจกลายเป็นรอยปัญหา เพราะคนที่มีรอยสักมักถูกมองในทางลบมากกว่าทางบวก จะสมัครเรียนสมัครงานก็อาจพลาดโอกาส ดังนั้น น้องๆ ที่คิดจะสักควรคิดหน้าคิดหลังให้ดี เพราะรอยสักจะติดตัวเราไปจนโต และการลบรอยสักต้องใช้เวลา และค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งจะเป็นภาระกับผู้ปกครองนะคะ

แต่ถ้าน้องๆ คนไหนสักไปแล้ว และมีปัญหากับรอยสัก อยากจะลบทิ้ง แนะนำให้ไปปรึกษาคุณหมอ ปัจจุบันมีเลเซอร์ใช้ลบรอยสักได้ค่ะ

การลบรอยสักด้วยเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีการลบรอยสักที่นิยมทำ เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ และผลที่ออกมาสามารถลบรอยสักได้มากกลับไปใกล้เคียงกับผิวหนังเดิม

กลไกในการรักษาแพทย์ก็จะเลือกชนิดของเลเซอร์ให้เหมาะสมตรงกับสีของรอยสัก ซึ่งแต่ละสีก็จะมีความจำเพาะกับเลเซอร์แต่ละความยาวคลื่น ซึ่งแสงเลเซอร์ก็จะไปทำให้เม็ดสีในผิวหนังแตกออก และถูกขจัดออกทางระบบน้ำเหลือง, ขจัดออกทางผิวหนังตามมา

การลบรอยสักจะทำทุก 3-4 อาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง ส่วนจำนวนครั้งนั้นขึ้นอยู่กับเป็นรอยสักชนิดไหน ถ้าเป็นรอยสักโดยช่างสมัครเล่น (มักเป็นรอยสักสีเดียว เช่น สีดำ และรอยสักไม่ลึกมากนัก) ก็สามารถทำการลบออกได้ภายใน 6-8 ครั้ง ส่วนรอยสักโดยช่างอาชีพ (มักจะมีหลายสี เช่น แดง เขียว เหลือง ดำ สีแต่ละสีมีความคมชัดสูง และมีความลึกของเม็ดสีมากกว่า) ต้องใช้จำนวนครั้งในการลบมากกว่า อาจถึง 10 ครั้งขึ้นไป ส่วนผลลัพธ์ที่ออกมาในรอยสักจากช่างสมัครเล่น ผลลัพธ์จะดีกว่ารอยสักโดยช่างอาชีพ ซึ่งอาจจะยังมีรอยสักจางๆ หลงเหลืออยู่ที่ผิวหนังค่ะ

ก่อนจากกันขอฝากน้องๆ อีกสักเรื่อง อย่าได้ไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกี่ยวกับน้ำยาลบรอยสัก ที่ว่ามีประสิทธิภาพและเห็นผลทันตา แล้วซื้อมาลบรอยสักเองนะคะ อาจเกิดแผลเป็น หรือไม่ก็เสียโฉมไปเลย ทำให้ต้องมาเวียนแก้ปัญหาในระยะยาวเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ค่ะ

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ศัลยกรรม...รักษาใบหน้าที่เสียโฉม



เมื่อ "ศัลยกรรมตกแต่ง" ไม่ใช่แค่การยกเครื่องเรื่องความงามของผู้หญิง แต่ช่วยแก้ไขความพิการที่สร้างความทุกข์ระทมให้กับผู้ป่วย เฉกเช่นชีวิตของเด็กสาววัยสดใสคนหนึ่งที่ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นจากอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน...ทำให้ใบหน้าของเธอเสียโฉมจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ แต่ด้วยศัลยกรรมตกแต่งทำให้เธอกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง

คงต้องยอมรับว่า สมัยนี้การทำศัลยกรรมตกแต่งกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ไม่เฉพาะในสังคมไทย บ้านอื่นเมืองอื่นก็นิยมทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่ามครต่างก็อยากมีรูปลักษณ์ที่ดูดีขึ้น บางคนทำศัลยกรรมมาแล้วจำแทบไม่ได้เพราะสวยหล่อขึ้นผิดตา ทุกวันนี้การทำศัลยกรรมจึงไม่ได้จำกัดวงเฉพาะคนที่ประกอบอาชีพที่ต้องอาศัยบุคลิกรูปร่างหน้าตาเป็นหลัก อาทิ ดารา นักร้อง นักแสดง ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ อย่างเดียว คนทั่วๆ ไปที่อยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้น ก็หันมาพึ่งศัลยกรรมตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมจมูก ทำตาสองชั้น เสริมคาง ดึงหน้า ดูดไขมัน เป็นต้น ยิ่งสมัยนี้เทคนิคการทำศัลยกรรมมีการพัฒนาและทันสมัยมากขึ้น กระทั่งสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการสร้างทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับการทำศัลยกรรม หรืออิทธิพลจากบุคคลใกล้ชิด เช่น ญาติพี่น้อง เพือน หรือคนรู้จัก ที่เคยทำศัลยกรรมแล้วดูดีขึ้นสวยขึ้น ล้วนมีส่วนผลักดันให้คนกล้าตัดสินใจลุกขึ้นมาทำศัลยกรรมกันมากขึ้นค่ะ

ศัลยกรรม...ทำเพื่อใคร?

แน่นอนว่ากลุ่มใหญ่ของคนที่ทำศัลยกรรมก็คือ คนทั่วๆ ไปที่อยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนให้ดูดีขึ้น อันนี้เข้าใจได้ไม่ยากค่ะ คนเราเกิดมาไม่มีใครสวยหล่อสมบูรณ์แบบ บางคนตาตี่ บางคนดั้งแบน บางคนก็อกแฟบ ฯลฯ ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านี้กลายเป็นปมด้อยที่ทำให้ขาดความมั่นใจ ทำให้คนหันมาพึ่งพาศัลยกรรมตกแต่งเพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องให้มีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้นับวันเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกกลุ่มเป็นกลุ่มของผู้ป่วยจริงๆ ไม่ใช่คนทั่วไปอย่างกลุ่มแรก กลุ่มนี้ทำศัลยกรรมก็เพื่อแก้ไขความผิดปกติหรือความพิการของร่างกาย ซึ่งอาจเป็นมาแต่กำเนิด หรือมาเกิดขึ้นภายหลังเนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น เด็กที่เกิดมาพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ หรือผู้ได้รับอุบัติเหตุ ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ บนใบหน้า หรือรูปร่างเปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อการดำเนินชีวิต หรือไม่ผู้ป่วยก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับสภาพความผิดปกติที่เป็นจนไม่อาจใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ สำหรับคนกลุ่มนี้ การทำศัลยกรรมตกแต่งกลายเป็นทางออก ที่จะช่วยแก้ไขและปรับเปลี่ยนสภาพความผิดปกติทางร่างกายให้กลับคืนใกล้เคียงสภาพเดิมมากที่สุด ช่วยลดปมด้อยสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั่งค่ะ

อย่างไรก็ตาม สองกลุ่มที่ว่านี้สัดส่วนต่างกันค่อนข้างเห็นเด่นชัดโดยปริมาณจะเทไปทางกลุ่มแรกเสียมาก กลายเป็นว่า พอพูดถึงศัลยกรรมคนส่วนใหญ่เลยติดภาพว่า เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความงามอย่างเดียว ทั้งที่การทำศัลยกรรมไม่ได้ยังประโยชน์แค่ในกลุ่มคนที่ต้องการสร้างความงามเท่านั้น ดังเช่น "การทำศัลยกรรมตกแต่งในผู้ป่วยที่ใบหน้าเสียโฉม" ที่เราจะพูดถึงกันต่อไป

ศัลยกรรมตกแต่ง...ใบหน้าที่เสียโฉม

การทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าในผู้ป่วยที่เสียโฉม เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำศัลยกรรมตกแต่งมาใช้ในทางสร้างสรรค์ โดยการรักษาต้องอาศัยทั้งฝีมือของศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเวลา ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้ง เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายขั้นตอนกว่าที่ผลการรักษาจะออกมาน่าพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการรักษาผู้ป่วยสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และนี่คือเรื่องราวของเด็กสาวคนหนึ่งที่ชีวิตต้องตกอยู่ในสภาพการณ์อันเลวร้าย แต่พลิกฟื้นกลับมาได้ด้วยศัลยกรรมตกแต่ง

ฝันร้าย...มาเยือน

จากเด็กสาววัยรุ่นที่ร่าเริงสดใส ด้วยวัยเพียง 14 ปี ชีวิตดำเนินไปเยี่ยงปกติเช่นเดียวกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเธอก็พลิกผันสุดหยั่งคาด โชคชะตาเหมือนจะเล่นตลก เธอประสบอุบัตืเหตุโดนน้ำกรดใส่ยางพาราระเบิดใส่ใบหน้าและลำตัว นับแต่วินาทีนั้น ชีวิตของเด็กสาวเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย เธอถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง แพทย์ได้ให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ แต่เธอต้องเสียโฉมจนมิอาจเยียวยาให้กลับคืนมาดังเดิมได้ ทุกวันที่ได้เห็นใบหน้าตัวเองเป็นสภาพที่เกินจะทนทานรับได้ เด็กสาวต้องแบกความทุกข์ใจเอาไว้อย่างแสนสาหัส จนกระทั่งโอกาสในชีวิตเปิดขึ้นอีกครั้ง

ขั้นตอนการรักษา

แพทย์ได้ทำการตรวจและให้การวินิจฉัยว่า เธอมีบาดแผลของการเผาไหม้ของสารเคมีบนใบหน้า แขนซ้าย ไหล่ ขา และลำตัวประมาณ 25% (25% Third degree Burn Chemical at Face, Left, arm, forearm, hand, Right shoulder, Right leg) ส่วนการทำงานของอวัยวะของร่างกายที่โดนน้ำกรดลวก เช่น การมองเห็น การดมกลิ่น การได้ยิน หรือการทานอาหาร มีปัญหาบ้างแต่การทำงานยังปกติดีอยู่ นับว่ายังโชคร้ายไม่ถึงที่สุด


และจากการตรวจร่างกายพบว่า ใบหน้าของเธอแทบจะไม่มีเนื้อดีเหลืออยู่ มีแผลเป็นนูนและดึงรั้งจากน้ำกรด (acid burn) ทำให้ใบหน้าผิดรูปไปมาก หางตาด้านซ้ายผิวหนังหดรั้งมาก ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ จมูกยุบยวบลงไปจนไม่มีลักษณะหรือโครงสร้างเดิม และมุมปากหดรั้งทำให้ไม่สามารถอ้าปากได้เต็มที่

เมื่อประเมินสภาพปัญหาแล้วแพทย์ได้วางแผนการรักษา โดยเลือกเทคนิคการรักษาที่จะช่วยให้ใบหน้าของผู้ป่วยกลับมาอยู่ในสภาพดีที่สุด ดังนี้

ใบหน้าด้านซ้ายบริเวณแก้ม มีแผลเป็นนูนใหญ่ กินเนื้อที่กว้างไม่มีเนื้อดีเหลือเลย จำเป็นต้องตัดแผลเป็นออกทั้งหมด แล้วใช้ผิวหนังบริเวณหน้าท้องมาปิดตามแนวที่จะทำให้แผลเป็นสวยที่สุด ซึ่งหลังการรักษาเนื้อเยื่อมีการติดกันดีไม่มีการอักเสบ ผิวหนังจากท้องได้มาทดแทนผิวหนังบริเวณแก้มซ้ายที่นูนผิดปกติอย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นจึงทำการรักษาใบหน้าบริเวณด้านขวา ซึ่งมีเนื้อดีเหลือไม่มากนัก ในการรักษาจำเป็นต้องใช้เนื้อดีที่มีอยู่ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด แพทย์จึงใช้วิธีที่เรียกว่า Tissue Expansion คือการใส่เครื่องมือทางการแพทย์เพื่อเพิ่มเนื้อเยื้อ ในกรณีนี้แพทย์ได้ใส่ลูกโป่งทางการแพทย์ 2 ลูก เข้าไปขยายเนื้อดีที่เหลืออยู่ โดยผู้ป่วยจะต้องเข้ามารับการฉีดน้ำเกลือเข้าไปในลูกโป่งทุกสัปดาห์ เพื่อให้ได้เนื้อเยื่อมากที่สุดที่จะสามารถนำไปปิดบริเวณหน้าด้านขวาได้ จากนั้นทำการตัดแผลเป็นนูนออกและยึดเนื้อดีที่เกิดจากการขยายตัวด้วยลูกโป่งเข้าไปปิดแทน

บริเวณหางตาด้านซ้ายที่ผิวหนังหดรั้งมาก ทำให้ลืมตาได้ไม่เต็มที่ แพทย์ทำการแก้ไขโดยการผ่าตัดด้วยวิธี Z-plasty ซึ่งการผ่าตัดลักษณะนี้แผลผ่าตัดจะเป็นรูปซิกแซก (Zigzag) ช่วยลดการดึงรั้งบริเวณหางตาได้ค่ะ

ลำดับต่อมาคือ การทำจมูกใหม่เนื่องจากจมูกไม่มีรูปร่างเดิมหลงเหลืออยู่เลยโดยวิธี Scalp Flap เป็นการตัดหนังศีรษะจากบริเวณด้านข้างของศีรษะมาปลูกเนื้อเยื่อบริเวณจมูกแล้วดึงหนังกลับไปเหมือนเดิม เพื่อให้ได้รูปจมูกที่ดูใกล้เคียงปกติมากที่สุด

หลังขั้นตอนการรักษาสำคัญๆ ผ่านพ้นไป คงเหลือการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างแผลเป็นนูนบางแห่งก็พิจารณาฉีดยาให้ยุบลง หรืออย่างสีผิวหนังที่ยังไม่สม่ำเสมอ ก็ใช้วิธีทางการแพทย์ช่วยได้ ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาคงเค้าใกล้เคียงรูปหน้าเดิมมากที่สุดนั่นเอง

ก้าวสู่...ชีวิตใหม่

กว่า 2 ปีที่เข้ารับการรักษา นับเป็นความพยายามที่ไม่สูญเปล่า แม้การรักษาจะไม่ได้ผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเยียวยาให้ใบหน้าของเธอมีสภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ปัจจุบัน เด็กสาวกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง สามารถดำเนินชีวิตด้วยความมั่นใจมากขึ้น ไม่ต้องคอยหลบหน้าผู้คนอีกต่อไป ส่วนการรักษาทางการแพทย์ยังคงต้องมาพบแพทย์เป็นระยะ เพื่อติดตามผลการรักษา ล่าสุดเราได้รับทราบข่าวดีว่าเธอได้สร้างครอบครัวของเธอเอง มีบุตรน้อยที่น่ารักเป็นเสมือนของขวัญมาช่วยลบเลือนฝันร้ายที่ผ่านมา..


















































ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช




"แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว"

สมัยนี้โลกสื่อสารถึงกันไวเพียงชั่วนิ้วคลิก แล้ววงการแพทย์จะย่ำอยู่กับที่ได้ยังไงล่ะคะ อย่างการผ่าตัดทางนรีเวชด้วยวิธีเปิดหน้าท้องแบบเดิมที่คนไข้มักนึกขยาด ได้พลิกโฉมไปสู่การผ่าตัดผ่านกล้อง...อีกทางเลือกใหม่ที่น่าจับตามองในห้วงเวลานี้ค่ะ

การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช เป็นการผ่าตัดที่ใช้กล้องสอ่งเข้าไปในช่องท้อง เพื่อรักษาโรคในบริเวณอุ้งเชิงกราน อันที่จริงการผ่าตัดผ่านกล้องไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าใครสนใจข่าวสารในแวดวงการแพทย์ก็คงจะเคยได้ยินการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านกล้องกันมาบ้าง การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชก็ใช้หลักการคล้ายๆ กันค่ะ โดยแพทย์จะเจาะผนังท้องผู้ป่วยเพื่อใส่ก๊าซเข้าไปขยายช่องท้องให้ใหญ่ขึ้น จากนั้นสอดกล้องขนาด 0.5 - 1 เซนติเมตร เพื่อหารอยโรค แล้วจึงเจาะผนังช่องท้องเพิ่มอีก 2 -3 ตำแหน่ง สำหรับใส่เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็ก มีความกว้างประมาณ 0.5 - 1 เซนติเมตร เพื่อทำการผ่าตัดต่อไป


เมื่อเทียบกับการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบเดิม จุดเด่นของการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชก็คือ เป็นการผ่าตัดที่กระทบกระเทือนต่ออวัยวะภายในน้อย ลดโอกาสเกิดพังผืดในช่องท้อง หลังทำผู้ป่วยจะเจ็บแผลน้อยมาก เนื่องจ่ากแผลมีขนาดเล็ก เพียง 0.5 - 1 เซนติเมตร (ประมาณ 4 ตำแหน่ง) จึงใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 2 - 4 สัปดาห์ค่ะ

ที่นี้มาดูกันว่า กรณีใดบ้างที่ทำผ่าตัดผ่านกล้องได้

  • ในกรณีต้องการตรวจวินิจฉัย เช่น ภาวะปวดท้องน้อย เรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ ภ่าวะมีบุตรยาก

  • ผ่าตัดปีกมดลูก เช่น ท้องนอกมดลูก ช็อกโกแลตซีสต์ ถุงน้ำรังไข่

  • ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก หรือผ่าตัดมดลูก

  • ผ่าตัดเลาะพังผืดในช่องท้อง

ถึงจะมีข้อดีและดูว่าไม่น่ามีอันตรายใดๆ แต่การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชก็มีข้อจำกัดในการทำค่ะ ไม่ใช่ทำได้ทุกราย อย่างผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด โรคอ้วน ผู้ป่วยเคยผ่าตัดใหญ่ ที่อาจจะมีพังผืดในช่องท้องมาก หรือผู้ป่วยมีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก กรณีที่ยกมาเหล่านี้แพทย์จะเลี่ยงไม่ผ่าตัดผ่านกล้อง หรือจะพิจารณาเป็นกรณีไปว่าสมควรจะผ่าตัดด้วยวิธีไหน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย

นำข้อมูลการผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชมาแนะนำให้รู้จัก เผื่อไว้เป็นข้อมูลในการรักษาอีกทางหนึ่งนะคะ และด้วยข้อดีของการผ่าตัดผ่านกล้องที่กล่าวถึงไปแล้วนั้น เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้...การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช จะเป็นการผ่าตัดที่เลือกใช้ก่อนวิธีการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องแบบเดิม หากผู้ป่วยไม่มีข้อจำกัดทางการแพทย์ค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

แจกฟรี !



แจกฟรี ! คูปองส่วนลด 10% ของโรงพยาบาลยันฮี
ใช้ได้ทุกศูนย์การรักษา ไม่มีขั้นต่ำค่ะ
สามารถพิมพ์คูปองจากหน้ากระทู้นี้ หรือเข้าไปโหลดที่ :
www.thaiprivilege.com หรือที่ :
แล้วนำไปยื่นที่แคชเชียร์ก่อนการชำระเงินได้เลยค่ะ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 02-784-7844

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

แต่งตัวให้เหมาะ...ยามหางาน


สาวๆ ที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ถึงเวลาต้องตระเวนหางานทำ ถ้ายังนึกไม่ออกว่าควรแต่งกายอย่างไรดีเวลาไปสมัครหรือสัมภาษณ์งาน เรามีคำแนะนำมาฝากค่ะ

- กระโปรงสั้นผ่าหน้าผ่าหลัง เสื้อรัดรูปโชว์หุ่น พับเก็บไว้ก่อนค่ะ สถานที่ทำงานไม่ใช่เวทีแคทวอล์ก ความมั่นใจเกินร้อยโดยไม่รู้กาลเทศะอาจทำให้คุณพลาดงานไปอย่างน่าเสียดายค่ะ

- รองเท้าเปลือยส้นไม่มีสายรัดข้อเท้า ถึงดูเก๋แต่ไม่ใช่เวลานี้ คุณควรเลือกสวมรองเท้าคัชชูปิดนิ้วเท้าจะสุภาพกว่าเลือกแบบเท่ๆ เก๋ๆ ก็ไม่ต้องกลัวเชยแล้วล่ะค่ะ

- กระเป๋าถือก็อย่าให้ดูแฟชั่นหรือสีสันจัดจ้านจนเกินไป ควรเลือกโทนสีขรึม และ ขนาดให้พอเหมาะ

- สุดท้าย คำพูด คำจา ถือเป็นอาภรณ์ประดับกายอย่างหนึ่ง ก็ควรให้อ่อนหวาน อ่อนน้อม และมั่นใจ จะช่วยเสริมเสน่ห์ให้คุณดูน่าสนใจยิ่งขึ้นค่ะ

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

หลากเทคนิค...เพื่อเจ้าตัวน้อย



คู่สามีภรรยาที่ครองรักครองสุขกันมานาน จนอยากจะมี "โซ่ทอง" คล้องใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีวี่แววว่า เจ้าตัวน้อยจะยอมมาแจ้งเกิดสักที เรามีคำแนะนำที่คุณทั้งคู่สามารถนำไปลองปฏิบัติได้ด้วยตนเองมาฝากค่ะ

* ละทิ้งความเครียดไปบ้าง ถ้าชีวิตประจำวันของคุณ มีแต่เรื่องเคร่งเครียด เช่น เครียดกับปัญหาส่วนตัว, เครียดเรื่องงาน เหมือนอย่างเพลงเขาว่าไว้...เช้ามาก็ปั่นแต่งาน ดึกดื่นถึงบ้านแทบคลานไม่ไหว ก็คงไม่มีอารมณ์เติมไฟรักให้กันได้เป็นแน่ ถ้าเป็นไปได้ควรเพลาๆ เรื่องงานเอาไว้บ้าง แล้วหาเวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น หรือไม่ก็หาวันหยุดไปพักผ่อนหย่อนอารมณ์ให้คลายเครียดในสถานที่ที่มีบรรยากาศดีๆ หลีกหนีความซ้ำซากจำเจ เพื่อช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งสดชื่น กระปรี้กระเปร่า จะได้มีเวลาหวานๆ ซึ้งๆ ระหว่างกันมากขึ้นค่ะ

* เลือกช่วงเวลามีเพศสัมพันธ์ ในแต่ละเดือน รังไข่ของผู้หญิงจะผลิตไข่ 1 ฟอง เพื่อรอรับการผสม หากไข่ไม่ได้รับการผสม ผนังมดลูกที่หนาขึ้นเพื่อเตรียมรับการฝังของตัวอ่อนก็จะสลายกลายเป็นเลือดระดูขับออกจากร่างกาย คุณจึงควรเลือกมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่ไข่สุกพร้อมติดมากที่สุด ดังนี้

- ให้มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 3 วันติดต่อกันในช่วงระหว่างวันที่ 11-16 โดยนับวันแรกที่มีประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 (ไม่ใช่นับวันที่ตามปฏิทินนะคะ) หากมีเพศสัมพันธ์ก่อนหรือหลังช่วงเวลานี้ โอกาสตั้งครรภ์จะมีน้อย เพราะไข่ยังสมบูรณ์ไม่เต็มที่ หรือไข่เริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ส่วนคุณผู้หญิงที่รอบเดือนมาไม่ปกติ คือระยะรอบเดือน 27-35 วัน (รอบเดือนโดยเฉลี่ยราว 28 วัน) ให้มีเพศสัมพันธ์สลับวันเว้นวัน 5 วันติดต่อกัน โดยเริ่มจากวันที่ 13 หลังประจำเดือนมาเป็นวันแรก โอกาสตั้งครรภ์จะมีมากค่ะ

- อีกวิธีหนึ่งให้ใช้ปรอทวัดไข้ คอยวัดอุณหภูมิร่างกายตัวเอง โดยทุกเช้าก่อนที่คุณผู้หญิงจะมีกิจกรรมอื่นใด ให้วัดอุณหภูมิตัวเองจดบันทึกไว้ วันไหนพบว่าอุณหภูมิลดต่ำกว่าปกติ 0.5 องศาเซลเซียส ให้เริ่มมีเพศสัมพันธ์ 3 คืนติดต่อกันทันทีโอกาสตั้งครรภ์จะมีสูงเช่นกันค่ะ

คงจะเห็นนะคะว่า โอกาสทองของการตั้งครรภ์ของผู้หญิงเรานั้นมีระยะเพียง 3-4 วันในหนึ่งเดือนเท่านั้นเอง ฉะนั้น วางแผนนับวันกันให้ดีๆ จะได้ไม่ผิดพลาด

* ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

- นักวิจัยพบว่า น้ำกาม 1 มิลลิลิตร ควรมีเชื้ออสุจิไม่ต่ำกว่าห้าพันล้าน ถึงหนึ่งหมื่นล้านตัว แถมในจำนวนนี้ต้องเป็นเชื้อที่แข็งแรง " ใช้การได้ " ไม่ต่ำกว่า 60% ดังนั้น คุณผู้ชายควรลด ละ เลิกพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความสมบูรณ์แข็งแรงของตัวอสุจิ เป็นต้นว่า การผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยการแช่น้ำอุ่นนานๆ, การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป เป็นต้น

- เริ่มต้นใส่ใจสุขภาพกันแต่วันนี้ ด้วยการชักชวนทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ อาทิ ออกกำลังกาย เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารทะเล ซึ่งมีธาตุสังกะสีมาก ธาตุตัวนี้นักวิจัยพบแล้วว่า มีส่วนช่วยเพิ่มพลังการผลิตเชื้ออสุจิด้วยค่ะ

ที่ยกมาเป็นแค่ตัวอย่างให้ลองนำไปปฏิบัติดู หากใครมีเทคนิคที่ได้ผลอย่างอื่นจะเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ได้นะคะ ส่วนภาวะมีบุตรยากที่จัดเป็นปัญหาใหม่ของคนเมืองหลวงนั้น เป็นปัญหาที่ต้องให้คุณหมอช่วยแก้ไข สามีภรรยาคู่ไหนประสบปัญหานี้ควรจูงมือกันไปปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุดค่ะ

เริงร่า...ท้าแดด


คุณผู้อ่านที่เตรียมแพ็คกระเป๋าหนีร้อนไปเริงร่าท้าแดด
รู้มั้ยว่า...แสงแดดประกอบด้วย แสงอุลตราไวโอเลต (ยูวีเอ และยูวีบี)
ที่สามารถส่องผ่านผิวชั้นบน เป็นเหตุให้ผิวไหม้เกรียม เกิดฝ้า กระ หรือริ้วรอยก่อนวัย
นอกจากนั้นยังสามารถทะลุผ่านชั้นผิวที่ลึกลงไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสติน
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จำเป็นของผิวที่มีสุขภาพดีและแลดูอ่อนวัยด้วยค่ะ
การป้องกันผิวพรรณมิให้ถูกทำลายจากแสงแดด วิธีที่ดีที่สุดคือ
หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีแดดจัดมากๆ (ช่วง 10.00-15.00 น.)
แต่ไปเที่ยวทั้งทีคงเลี่ยงแดดได้ยาก เช่นนั้นมาหาทางป้องกันไม่ให้ผิวสัมผัส
แสงแดดโดยตรงจะดีกว่าค่ะ การป้องกันทำได้หลายวิธี เช่น สวมหมวก
กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว-กางเกงขายาว หรือใช้ครีมกันแดด
ครีมกันแดดมักผสมสารป้องกันแดด 2 ชนิด คือ สารกันแดดชนิดสะท้อนแสง
และชนิดดูดซับแสง การผสมตัวยาหลายชนิดมีส่วนดีตรงทำให้มีฤทธิ์
ป้องกันแสงได้ดีขึ้น สำหรับครีมกันแดดที่ดี ควรป้องกันได้ทั้ง ยูวีเอ และ ยูวีบี
ทั้งมีความสามารถในการป้องกันแสงแดดหรือที่ได้ยินกันบ่อยๆ ว่า
ค่า SPF นั่นแหละค่ะ (SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor
เป็นค่าแสดงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดได้เป็นจำนวนเท่า
เมื่อเทียบกับที่ไม่ได้ใช้ครีม) โดยทั่วไป แสงแดดในบ้านเราใช้ครีมกันแดด
ที่มีค่า SPF 15-20 ก็เพียงพอค่ะ แต่ถ้าต้องออกแดดนานๆ
เช่น ไปเที่ยวทะเล อาจต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 25 หรือมากกว่านั้น
ที่สำคัญอย่าทาเฉพาะบริเวณหน้า ส่วนไหนที่สัมผัสแสงแดดทาให้หมด
เช่น บริเวณหู คอ แขน หลังมือ
หน้าร้อนนี้...หากจะหนีร้อนไปเที่ยวต่างจังหวัด อย่าลืมใส่ใจดูแลผิวพรรณ
ผิวสวยจะได้อยู่คู่คุณไปอีกนานๆ ค่ะ
คืนยิ้มสดใส...ให้ลูกน้อย




พ่อแม่ที่มีลูกเกิดมาพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ ย่อมมีความทุกข์ใจเป็นธรรมดา ไหนจะสงสารลูกน้อยที่เกิดมาไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ไหนจะกังวลว่าลูกจะมีปมด้อยเมื่อโตขึ้นหรือเปล่า การเลี้ยงดูก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากเด็กไม่สามารถที่จะดูดนมได้ดีอย่างเด็กทั่วไป...สารพัดเรื่องให้กังวลค่ะ ส่วนตัวเด็กเองก็มีปัญหาจากสภาพความพิการที่เป็น เช่น ดูดนมได้ไม่ดีเหมือนเด็กปกติอย่างที่บอก บางรายอาจมีปัญหาความพิการร่วมในระบบอื่นๆ เช่น ความพิการทางหัวใจและระบบไหลเวียน ความพิการทางระบบทางเดินอาหาร ระบบขับถ่าย รวมทั้งทางระบบประสาทและสมอง บางครั้งความพิการยังอาจส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง หรือแม้แต่การอักเสบของหูชั้นกลางก็เกิดได้บ่อยกว่าปกติ

รักษาแต่เนิ่น...ดีที่สุด

ความพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ สามารถผ่าตัดแก้ไขได้ แต่การรักษาควรรีบตัดสินใจทำแต่เนิ่นๆ ไม่ควรปล่อยปัญหาให้เนิ่นนานจนผ่านช่วงเวลาสำคัญไป ซึ่งพ่อแม่ควรมีความรู้ความเข้าใจในการรักษาและมารับการรักษาอย่างถูกต้องตามกำหนดเวลา ก็จะช่วยให้ลูกน้อยกลับมามีอวัยวะที่สมบูรณ์และใช้งานได้ทั้งปากและเพดาน รวมทั้งฟันและกระดูกใบหน้า เมื่อโตขึ้นก็จะมีลักษณะเกือบจะปกติ

นอกจากนั้นการที่พ่อแม่นำเด็กมาพบแพทย์ ไม่ใช่เฉพาะแค่รักษาอาการปากแหว่ง เพดานโหว่ แต่แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียดเพื่อค้นหาความผิดปกติร่วมอื่นๆ จะได้ทำการแก้ไขไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ

พบแพทย์...พบทางออก

เมื่อพ่อแม่นำเด็กมาพบแพทย์ ใช่ว่าจะทำการรักษาได้เลยนะคะ แพทย์จะต้องตรวจและประเมินก่อนว่าเป็นปากแหว่ง เพดานโหว่ชนิดใด โดยทั่วไปสามารถแยกได้ดังนี้


- ปากแหว่ง แบ่งออกเป็น : ปากแหว่งแบบสมบูรณ์ คือ แหว่งเข้าไปถึงรูจมูก และปากแหว่งแบบไม่สมบูรณ์ คือ แหว่งเฉพาะที่ริมฝีปาก ซึ่งการแหว่งอาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้

- เพดานโหว่ แบ่งออกเป็น : เพดานโหว่แบบสมบูรณ์ คือ โหว่ตั้งแต่ลิ้นไก่ถึงเพดานแข็งด้านหน้า และถึงเหงือกด้านหลัง และเพดานโหว่แบบไม่สมบูรณ์ คือ โหว่เฉพาะส่วนเพดานอ่อนด้านหลังเท่านั้น ซึ่งการโหว่อาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้

- ปากแหว่งเพดานโหว่ร่วมกับความผิดปกติของส่วนอื่นๆ ของใบหน้า เช่น กลุ่มความพิการใบหน้าชนิดต่างๆ, ความพิการของโรคที่เกี่ยวข้องกับขากรรไกรเล็กผิดปกติ เป็นต้น

ครั้นทราบว่าเป็นปากแหว่งเพดานโหว่ชนิดใดแล้ว ก่อนลงมือรักษาแพทย์จะตรวจสภาพร่างกายทั่วๆ ไปของเด็กว่ามีความพร้อมต่อการผ่าตัดมากน้อยเพียงใด ในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการรักษาความพิการแฝงก่อน เช่น ความผิดปกติของหัวใจ ปอด ฯลฯ หรือรักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หายสนิทเสียก่อน เช่น ไข้หวัด ปอดอักเสบ หูอักเสบ ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ส่งผลต่อการผ่าตัดและดมยาสลบ

ด้วยเหตุที่การผ่าตัดจะทำโดยการดมยาสลบทุกราย ฉะนั้น เด็กจะต้องงดน้ำ นม และอาการอื่นๆ อย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการสำลักอาหารค่ะ

ผ่าตัด...ช่วงใดเหมาะสม

กรณีปากแหว่ง โดยทั่วไปช่วงเวลาเหมาะสมจะกำหนดอายุประมาณ 3 เดือน น้ำหนักเด็กมากกว่า 5 กก. ไม่มีปัญหาเรื่องซีดหรือการติดเชื้ออื่นๆ ในร่างกาย การผ่าตัดจะมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะความพิการของปากและจมูก รวมถึงความถนัดของแพทย์ แต่โดยทั่วไปแพทย์จะผ่าตัดโดยการเลื่อนกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และส่วนต่างๆ ที่อยู่ผิดที่ผิดตำแหน่งให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง และใช้เนื้อเยื่อส่วนต่างๆ บนใบหน้ามาหนุนสร้างความนูน ความสูง ลักษณะของจมูกและริมฝีปาก ใช้เวลาทำประมาณ 1-2 ชั่วโมง

กรณีเพดานโหว่โดยไม่มีความพิการของปาก อายุที่เหมาะสมสำหรับการผ่าตัดมักจะประมาณ 10 เดือน - 1 ขวบครึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กจะเริ่มใช้เพดานในการพูด หากเด็กได้รับการผ่าตัดที่สมบูรณ์แล้วโอกาสที่เด็กจะพูดได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติมีค่อนข้างสูง สำหรับวิธีการผ่าตัดนั้นแพทย์มักอาศัยเนื้อเยื่อของเพดานด้านข้างทั้งสอง เลาะออกจากกระดูกเพดานแล้วเลื่อนเข้ามาหากันตรงกลาง โดยการเลาะเนื้อเยื่อส่วนโพรงจมูก กล้ามเนื้อเพดาน และเยื่อบุเพดาน มาเย็บเข้ากันเป็นสามชั้น ที่สำคัญที่สุด คือ กล้ามเนื้อของเพดานอ่อนที่แพทย์จะพยายามซ่อมให้ได้กล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วนด้านข้างของเพดานที่แพทย์เลาะเลื่อนเข้ามานั้นจะค่อยๆ งอกเองจนเป็นเพดานเต็มผืนในที่สุด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน

กรณีปากแหว่ง เพดานโหว่ แพทย์จะทำการผ่าตัดเพดานหลังจากการผ่าตัดริมฝีปากประสบผลสำเร็จและได้ริมฝีปากที่สมบูรณ์แข็งแรงดีแล้วค่ะ โดยทั่วไปมักจะทำหลังการผ่าตัดริมฝีปากประมาณ 6 เดือนขึ้นไป

ใส่ใจต่อเนื่อง...หลังทำ

ภายหลังผ่าตัดจะต้องดูแลแผลริมฝีปากและเพดานให้ถูกต้อง พ่อแม่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการนี้ด้วย ถ้าดูแลไม่ดีอาจทำให้แผลหายช้า เกิดแผลอักเสบหรือแผลที่เย็บไว้แยกออกจากกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากในการแก้ไขภายหลัง ที่สำคัญผลการรักษาที่ได้จะไม่สมบูรณ์ รวมทั้งการใช้งานของเพดานหรือริมฝีปากก็อาจไม่ปกติได้

โดยทั่วไป แพทย์จะให้เด็กงดดูดนมนานประมาณ 1 เดือน จนกว่าแผลจะหายดีและแข็งแรงเพียงพอ ในช่วงนี้ควรเลี่ยงไปใช้ช้อน หรือหลอดหยดน้ำ หรือนมแทนไปพลางก่อน ส่วนการดูแลแผลผ่าตัดก็ทำไปตามที่แพทย์แนะนำ และควรมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา รวมถึงการรักษาต่อเนื่องอื่นๆ เช่น การฝึกการใช้ริมฝีปาก เพดาน การดูแลการจัดฟัน การผ่าตัดซ่อมแซมเหงือกหรือแก้ไขจมูกที่ยังไม่สมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กเติบโตพร้อมกับสภาพของใบหน้าและโครงสร้างส่วนต่างๆ ที่สมบูรณ์ที่สุด

....พ่อแม่ที่มีลูกพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ อย่ามัวแต่โทษเวรกรรม ความพิการปากแหว่ง เพดานโหว่ รักษาได้

...ควรรีบนำเด็กมาพบแพทย์ก่อนจะผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญไป เพื่อรอยยิ้มที่สดใสของลูกน้อยค่ะ


วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

เมื่อประเดือน...มาทักทาย



...แม้สมัยนี้เด็กๆ จะมีสื่อให้เรียนรู้มากขึ้น ทว่าการมีประจำเดือนครั้งแรก (ร้อยละ 80 ของผู้หญิงจะมีประเดือนครั้งแรกเมื่ออายุระหว่าง 11-14 ปี) ยังนับเป็นประสบการ์แปลกใหม่และน่าตกใจอยู่ไม่น้อย ทันโรคกับวัยรุ่นฉบับนี้ ก็เลยจะพาน้องๆ ไปรู้จักกับประจำเดือน...เรื่องธรรมดาของผู้หญิง...ไม่ใช่ความเจ็บป่วย เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องกันนะคะ

ประจำเดือน (จะเรียก รอบเดือน หรือ ระดู ก็ได้) หมายถึง การมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดทุกรอบเดือน เกิดจากมีการสลายตัวของเยื่อภายในโพรงมดลูก จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยสาวจนกระทั่งถึงวัยหมดประจำเดือน ยกเว้นในระยะที่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นเท่านั้น โดยรอบประจำเดือน ควรอยู่ในช่วง 28 วัน เร็วหรือช้าไปไม่เกิน 7 วัน (28+7) ระยะเวลาที่มีเลือดออก ประมาณ 3-5 วัน จำนวนเลือดที่ออกประมาณ 100-150 ซีซี. หรือถ้าใช้ผ้าอนามัยก็ไม่เกิน 3 ผืนชุ่มๆ ต่อวัน

- ลักษณะของเลือดประจำเดือน ควรเป็นเลือดน้ำ ไม่ใช่เลือดลิ่ม วันแรกๆ จะมีสีแดงค่อนข้างดำ วันต่อมาค่อยๆ จาง และหมดไป อาจมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย มากหรือน้อยแล้วแต่บุคคล เช่น มีอาการปวดท้องข้างในวันแรกๆ เพราะมดลูกจะบีบตัว บางคนอาจมีอาการนำมาก่อนการมีรอบเดือน เช่น หน้าอกคัดตึง หงุดหงิด ปวดศีรษะ ปวดหลัง อ่อนเพลีย เหนื่อย เป็นต้น ก็ไม่ต้องตกใจกันนะคะ

รอบเดือน...รับมืออย่างรอบคอบ ดังนี้ค่ะ

- อาบน้ำชำระล้างร่างกายและอวัยวะเพศได้ตามปกติ แต่ไม่ควรอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัด เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดประจำเดือนได้, ไม่ควรอาบน้ำในแม่น้ำลำคลองหรือสระว่ายน้ำ เพราะอาจมีสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคเข้าสู่ภายในช่องคลอดได้ค่ะ

- ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยใหม่ทุกครั้งเมื่อเปียกชุ่ม หรือเปลี่ยนทุก 3-4 ชั่วโมง ทุกครั้งที่เปลี่ยนควรล้างอวัยวะเพศภายนอกด้วยน้ำและสบู่ และซับให้แห้งก่อนใช้ผ้าอนามัยผืนใหม่

- ผ้าอนามัยที่ใช้ควรเป็นแบบธรรมดาที่ซึมซับทางด้านนอก ไม่ควรใช้ชนิดสอดเข้าไปภายในช่องคลอด เพราะอาจลืมไว้นานเกินไปทำให้เกิดการติดเชื้อในช่องคลอดได้

- ออกกำลังกายได้ตามปกติ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนัก และโลดโผนจนเกินไป

- หากมีอาการปวดท้อง อาจใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางบริเวณท้องน้อย ปกติอาการจะดีขึ้นได้ แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ ทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล 1-2 เม็ด ได้ค่ะ

- ควรบันทึกวันมาของประจำเดือนไว้ทุกๆ ครั้ง เพื่อให้ทราบว่าประจำเดือนมาสม่ำเสมอหรือไม่

- หากมีอาการผิดไปจากปกติมาก อาทิ ประจำเดือนมาล่าช้าไปมาก, ประจำเดือนออกมาผิดปกติ หรือมีอาการปวดท้องมากและเป็นทุกเดือน ควรบอกปัญหากับผู้ปกครองหรือปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูความผิดปกตินะคะ

น้องๆ ที่เพิ่งมีประจำเดือนอาจต้องใช้เวลาปรับตัวให้เคยชินสักพัก นานวันเข้าการมีประจำเดือนก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ...จึงไม่ต้องเป็นกังวลกันนะคะ

สวยจรดปลาย...จมูก

จมูกที่ไม่มีดั้ง แบนบาน มักเป็นปัญหาของคนเอเซียอย่างเราๆ ท่านๆ มาแก้ไขจมูกที่เป็นจุดเด่นตรงกลางใบหน้าให้โด่งสวย และเรียวได้รูปรับสันจมูก ทำให้ใบหน้าดูมีมิติ สวยคมเข้มขึ้น



เสริมจมูก...เสริมความมั่นใจ

การเสริมจมูกเป็นการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเรา ไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็นิยมทำกันมากขึ้น เพราะขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก แถมทำออกมาแล้วช่วยให้สวยให้หล่อขึ้นทันตา

แต่ใครที่อยากเสริมจมูกก็ใช่ว่าจะไปพบแพทย์ขอทำกันได้เลย แพทย์จะพิจารณาถึงอายุของผู้ที่ต้องการเสริมจมูกด้วย โดยทั่วไปคนไข้ควรมีอายุอย่างน้อย 16 ปีขึ้นไป ใครที่ยังอายุต่ำกว่านี้ก็ควรอดใจรอสักนิด

ส่วนมากแพทย์จะเลือกวัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกเป็น ซิลิโคลนแท่ง (Silicone) ข้อดีของซิลิโคนแท่งซึ่งเป็นวัสดุสังเคราะห์ (Synthetic prothesis) ก็คือ จะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายมนุษย์น้อยมาก ทำให้ร่างกายสามารถรับและห่อหุ้มแท่งซิลิโคนให้ยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ดี จริงๆ แล้ววัสดุที่นำมาใช้ในการเสริมจมูกไม่ได้มีเฉพาะซิลิโคนแท่งเท่านั้น บางครั้งก็อาจนำมาจากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด เช่น กระดูก, กระดูกอ่อน ฯลฯ แต่วิธีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เสริมจมูกคนไข้ที่มีจมูกผิดรูปเนื่องจากอุบัติเหตุหรือแก้ไขความพิการจากสาเหตุต่างๆ ไม่เหมาะสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูกเพื่อความงามในบุคคลทั่วๆ ไปที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้

ขั้นตอนการเสริมจมูก

คนไข้ต้องมีการเตรียมตัวก่อนทำเช่นเดียวกับการผ่าตัดอย่างอื่น เป็นต้นว่า แจ้งให้แพทย์ทราบหากเคยผ่าตัดอะไรเกี่ยวกับจมูกมาก่อน มีโรคประจำตัวหรือแพ้ยาอะไรอยู่ และที่ขาดเสียมิได้ก็คือ แพทย์จะตรวจสอบโครงสร้างของจมูก เนื้อเยื่อในโพรงจมูกด้านนอก รวมถึงพิจารณาถึงโครงสร้างรูปหน้าคนไข้อย่างละเอียดเพื่อว่าเวลาทำออกมาแล้วจะได้ดูดี ดูสวยรับกับรูปหน้า เรื่องของความโด่งแล้วดูดี ดูสวยนี้ นานาจิตตังค่ะ บางทีหมอว่าสวย คนไข้อาจไม่ชอบ ดังนั้น คงต้องพบกันครึ่งทางหรือหาจุดร่วมที่พอดีจะได้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

การผ่าตัดเสริมจมูกมีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน เพียงชั่วโมงเดียวก็แล้วเสร็จ คนไข้จึงสามารถรับการผ่าตัดได้เลย เริ่มจากแพทย์จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้น เพื่อลดความวิตกกังวล และขณะฉีดยาชารอบจมูกจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ จากนั้นจะเปิดแผลผ่าตัด (อาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้) บริเวณขอบรูจมูกยาวประมาณ 1 ซม. เพื่อผ่าตัดสร้างช่องว่างที่สันจมูกใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก ให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่ตกแต่งเป็นอย่างดีแล้วเข้าไป หลังตรวจสอบความเรียบร้อยจึงจะเย็บปิดแผล ปิดตามด้วยพลาสเตอร์หรือเฝือกจมูกเพื่อป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวม

การดูแลหลังเสริมจมูก

คนไข้ต้องนอนพักราว 1 ชม. เพื่อให้ยานอนหลับหมดฤทธิ์เสียก่อน จึงจะกลับบ้านได้ จากนี้ก็เป็นหน้าที่ของคนไข้ที่ต้องดูแลตัวเองต่อ เป็นต้นว่า ในช่วงวันสองวันแรกให้พยายามประคบผ้าเย็นบ่อยๆ หลังจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นแทน, นอนศีรษะสูง, ในช่วง 2 สัปดาห์แรกให้หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และกลับมาพบแพทย์ตามนัด

โดยทั่วไป จมูกจะบวมประมาณ 2-3 วัน ในวันที่ 4 ก็จะเริ่มยุบบวม แต่ถ้าจะให้เข้าที่ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในช่วงนี้ให้ระมัดระวังเรื่องการโดนกระแทก เพราะแท่งซิลิโคนจะถูกเนื้อจมูกห่อหุ้มจนแน่นและสามารถทนแรงกระทบได้มากๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน

เห็นง่ายๆ อย่างนี้แต่อย่าประมาทเด็ดขาด ถ้าจะทำก็ควรเลือกศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือทันสมัย ขอให้ยึดความปลอดภัยเป็นที่ตั้งมากกว่าเม็ดเงินในกระเป๋าที่จะเสียไป หรือเอาสะดวกเข้าว่านะคะ จะได้ไม่มีปัญหามาให้หมอเวียนแก้ เช่น ปัญหาจมูกคดเอียง จมูกสูงหรือต่ำเกินไป ปลายจมูกบางแต่ยังไม่ทะลุแล้ว รวมถึงจมูกมีการติดเชื้ออักเสบ อย่างที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งให้เห็นอยู่ประปรายค่ะ

จมูกเรียวสวย...ด้วยการตัดปีกจมูก

บางคนเกิดมามีดั้ง ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสริมจมูก แต่ดันปัญหาเรื่องปีกจมูกมาให้หนักใจก็มี อย่างคนที่มีปีกจมูกกางใหญ่จนเห็นรูจมูกกว้างเป็นปากถ้ำ แทบว่าจะแลเห็นขนทุกเส้น แทนที่จมูกซึ่งน่าจะเป็นจุดเด่นตรงกลางใบหน้าจะได้เด่นสมใจ ก็เลยกลายมาเป็นจุดด้อยให้พวกปากอยู่ไม่สุขล้อเลียนเอาเสียอีก

ถ้าเช่นนั้นจะปล่อยให้ปัญหามันคาใจอยู่ทำไมล่ะคะ ยิ่งถ้าคุณส่องกระจกเห็นทุกๆ วันแล้วรู้สึกรับรูปทรงของจมูกตนเองไม่ได้ ก็มาพบแพทย์เพื่อทำการแก้ไขเสียเถอะค่ะ การผ่าตัดตกแต่งปีกจมูกที่กว้างทำได้และไม่มีอะไรยุ่งยากเลย ผลที่ได้ก็คือคุณจะได้จมูกที่เรียวได้รูปทรงรับกับสันจมูก ลดรูจมูกที่ใหญ่ จึงช่วยเพิ่มความสวยงามลงตัวให้กับใบหน้า

โดยทั่วไป การลดขนาดปีกจมูกมักจะแก้ไขเฉพาะส่วนปีกด้านข้าง ซึ่งมีผิวหนังและกล้ามเนื้อเท่านั้น และแผลผ่าตัดทั้งหมดจะซ่อนไว้บริเวณขอบปีกจมูก ทำให้เห็นแผลได้ยากมาก ยิ่งคุณผู้หญิงยิ่งหายห่วง ใช้แป้งรองพื้นกลบเสียหน่อยก็เนียนจนจับไม่ได้แล้วล่ะค่ะ

เตรียมให้พร้อมก่อนทำ

คนที่อยากผ่าตัดปีกจมูกจะต้องให้แพทย์ตรวจลักษณะของปีกจมูกเสียก่อน เพื่อวางแผนการรักษาให้สอดคล้องกับความต้องการ รวมไปถึงการซักประวัติความเจ็บป่วย โรคประจำตัว ฯลฯ ถึงตอนนี้อย่าเพิ่งหงุดหงิดรำคาญไปเสียก่อน ที่ทำก็ล้วนแต่ประโยชน์กับตัวคุณเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเพื่อผลการรักษาที่น่าพอใจหรือในแง่ของความปลอดภัยก็ตาม

ขั้นตอนการผ่าตัด

โดยทั่วไป การผ่าตัดปีกจมูกจะใช้วิธีฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณปีกจมูก แต่คนไข้อาจรู้สึกเจ็บขณะฉีดยาและมีความวิตกกังวล ดังนั้น แพทย์จะให้ยานอนหลับชนิดที่มีฤทธิ์สั้นนำไปก่อน เมื่อยาชาออกฤทธิ์แล้วจึงจะทำการผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินออกและจัดฐานปีกจมูกรวมทั้งกำหนดความกว้างของรูจมูกใหม่ก่อนจะเย็บปิดแผล โดยซ่อนรอยแผลไว้บริเวณขอบของปีกจมูกอย่างที่บอกไป ส่วนวัสดุที่ใช้ในการเย็บแผลขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ ถ้าจะต้องมีการตัดไหม แพทย์ก็จะนัดมาในอีก 5-7 วันค่ะ ปกติขั้นตอนการผ่าตัดทั้งหมดจะใช้เวลาเพียง 30-40 นาทีเท่านั้น หลังทำแพทย์จะให้นอนพักประมาณ 1 ชม. จนกว่ายานอนหลับจะหมดฤทธิ์ จากนั้นจึงจะอนุญาตให้กลับบ้านได้

การดูแลหลังทำ

เมื่อกลับบ้านควรดูแลตัวเองต่อตามคำแนะนำของแพทย์ เป็นต้นว่า ในช่วง 2-3 วันแรก พยายามประคบผ้าเย็นบ่อยๆ และนอนศีรษะสูงเพื่อลดอาการบวม ใครที่ไม่เคยชินกับการนอนศีรษะสูงก็อดทนสักนิดนะคะ ส่วนแผลผ่าตัดไม่ควรถูกน้ำและให้ใช้ไม้พันสำลีป้ายยาหรือขี้ผึ้งปฏิชีวนะทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้งหรือตามแพทย์สั่ง อย่าลืมทานยาตามแพทย์สั่งและมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อตัดไหม





ใครที่มีปัญหาปีกจมูกกว้างใหญ่จนรู้สึกว่าเป็นปมด้อย อ่านแล้วก็ลองไปปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูนะคะ เพราะการผ่าตัดไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย แถมยังช่วยให้คุณได้รูปจมูกที่เรียวสวยลงตัวรับกับใบหน้าอย่างที่คุณต้องการ ช่วยเรียกความมั่นใจให้คุณได้แน่นอน

เอาล่ะค่ะ...ที่นี้คงจะมีทางออกกันแล้วสำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องจมูก

...คนดั้งแบน ก็ผ่าตัดเสริมจมูกให้โด่ง

...บางคนมีดั้งโด่ง แต่ปีกจมูกกว้าง อย่างนี้หมอจะผ่าตัดปีกจมูกอย่างเดียว

....บางคนดั้งก็ไม่มี ปีกจมูกก็บานกว้าง อย่างนี้หมอต้องผ่าตัดคู่ คือเสริมจมูกให้ และตัดปีกจมูกออกด้วย จะได้จมูกโด่ง เรียวสวยอย่างที่ต้องการค่ะ

สเต็มเซลล์ (Stem cell)



อ่านจั่วหัวเรื่องแล้วหลายท่านอาจจะยังงงๆ คงต้องยอมรับว่า เรื่องของสเต็มเซลล์ยังเป็นที่รับรู้ของคนทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ อยู่น้อยมาก ลองไปถามดูเถอะ ร้อยทั้งร้อยแทบไม่รู้จัก ยกเว้นว่าจะเป็นคนที่อัพเดทข่าวสารในแวดวงการแพทย์เป็นประจำนั่นแหละ ถึงจะพอผ่านหูอยู่บ้าง เช่นการรักษาโรคโดยใช้สเต็มเซลล์ การเก็บสเต็มเซลล์ไว้เพื่อใช้ในอนาคต เป็นต้น

สเต็มเซลล์คืออะไร?

สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวและเติบโตเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้หลายชนิด ซึ่งแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์มาจาก 2 แหล่ง คือ

1. สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ (embryonic stem cell) เป็นเซลล์ที่มีศักยภาพพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ต่างๆ ของร่างกายได้ทุกชนิด เช่น เจริญไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ตับอ่อน ตับ ปอด ไทรอยด์ กระเพาะปัสสาวะ กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ผิวหนัง สมอง เป็นต้น แต่ยังไม่สามารถนำมาใช้หรือรักษาได้เนื่องจากติดปัญหาด้านกฎหมายและศีลธรรม

2. สเต็มเซลล์จากร่างกาย (Adult stem cell) มีศักยภาพเปลี่ยนไปเป็นเซลล์อื่นได้จำกัดเพียงไม่กี่ชนิด เนื่องจากเป็นสเต็มเซลล์ที่ได้จากเซลล์เนื้อเยื่อที่โตเต็มวัยแล้ว เช่น สเต็มเซลล์จากเลือดในสายสะดือของทารกแรกเกิด หรือจากไขกระดูก เป็นต้น ซึ่งการนำมาใช้ไม่ได้เป็นการทำลายชีวิตเหมือนสเต็มเซลล์จากตัวอ่อน จึงไม่มีปัญหาทางกฎหมายและศีลธรรม

สเต็มเซลล์...ความหวังในการบำบัดโรค

จากคุณสมบัติพิเศษของสเต็มเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวและเติบโตเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ดังกล่าว จึงมีการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรค ที่ได้ยินบ่อยๆ แต่เราอาจไม่ทราบก็อย่างการนำสเต็มเซลล์จากไขกระดูกมาปลูกถ่ายเพื่อรักษาผู้ป่วย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย

แม้ว่าทุกวันนี้จะมีรายงานทางการแพทย์ออกมาเรื่อยๆ ถึงความสำเร็จของการรักษาโรคต่างๆ ด้วยสเต็มเซลล์ แต่เท่าที่วงการแพทย์ยอมรับการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรคแล้วได้ผลจริงก็เฉพาะในโรคเลือดเท่านั้น เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม และผู้ป่วยที่ไขกระดูกถูกทำลายจากยารักษามะเร็งค่ะ

ถึงจะมีข้อจำกัดด้านการรักษา ณ เวลานี้ แต่ด้วยคุณสมบัติอันมหัศจรรย์ของสเต็มเซลล์ วงการแพทย์คาดหวังว่า หากได้มีการศึกษาสเต็มเซลล์อย่างจริงจัง ก็อาจสามารถพัฒนาองค์ความรู้ในการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาอาการป่วยอันเนื่องมาจากเซลล์ เนื้อเยื่อ หรือ อวัยวะที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพได้ ด้วยการพัฒนาไปเป็นอวัยวะตามต้องการ คล้ายๆ กับการเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์อะไรทำนองนั้น เช่น ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ก็นำสเต็มเซลล์มากระตุ้นให้กลายเป็นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ และฉีดเข้าไปในหัวใจเพื่อสร้างเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจใหม่ ทำให้หายจากโรคได้ เป็นต้น แต่กว่าจะถึงวันนั้น คงต้องร้องเพลงรอกันไปพลางๆ ก่อนค่ะ

สเต็มเซลล์เป็นความหวังในการบำบัดรักษาโรค ซึ่งไม่แน่ว่า...ในอนาคตโรคที่รักษาหายยากหรือไม่หายขาด เช่น โรคตับ โรคเบาหวานแต่กำเนิด โรคมะเร็ง และโรคหัวใจ อาจจะรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้สเต็มเซลล์ ปัจจุบันจึงมีบริการเก็บสเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือไว้ให้ลูกน้อยเหมือนกับการประกันชีวิตให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด เผื่อว่าต่อไปในอนาคตเกิดเป็นโรคอะไรขึ้นมา ก็จะได้เอาสเต็มเซลล์ที่เก็บไว้มาใช้รักษาได้ ซึ่งบ้านเราก็มีบริการนี้เช่นกัน ใครสนใจลองศึกษาหาข้อมูลดูค่ะ


วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ฝังเข็ม...แบบไร้เข็ม




การฝังเข็ม... ศาสตร์การรักษาโรคที่ก่อกำเนิดมานานนับพันปี สามารถใช้รักษาได้ผลดีในหลายโรค ดังที่เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายทราบกัน อาทิ อัมพาต, อัมพฤกษ์, อัมพาตครึ่งท่อน, อัมพาตประสาทใบหน้า, โรคภูมิแพ้, โรคเหน็บชา, ปวดศีรษะไมเกรน, ปวดต้นคอ, ปวดหลัง, ปวดเอว, ปวดข้อต่างๆ, เวียนศีรษะ, หมอนรองกระดูกสันหลังกดเส้นประสาท, ผมร่วง เป็นต้น

ปัจจุบันการฝังเข็มได้พลิกโฉมสู่ความล้ำสมัยมากขึ้น เมื่อวงการแพทย์ได้นำเลเซอร์สุดยอดเทคโนโลยีมาใช้แทนเข็ม แต่ยังอิงหลักการฝังเข็มแบบเดิมเอาไว้

หลักการทำงานของการฝังเข็มโดยใช้เครื่องเลเซอร์

* ใช้หลักการเดียวกับการฝังเข็ม แต่ใช้แสงเลเซอร์แทนเข็ม

* แสงเลเซอร์จะเข้าไปจี้ตามจุดและเส้นต่างๆ ที่เป็นตำแหน่งในการฝังเข็มก่อให้เกิดผลต่างๆ ตามมาหลายอย่าง อาทิ

- ปรับการทำงานของอวัยวะและระบบต่างๆ ที่เสียสมดุลไปให้กลับสู่สภาพปกติ

- ช่วยยับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติต่างๆ

- ปรับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรคยับยั้งปฏิกิริยาภูมิแพ้ไวเกินยับยั้งปฏิกิริยาการอักเสบ เป็นต้น

จุดเด่นของการฝังเข็มโดยใช้เลเซอร์

1. ไม่ได้ใช้เข็มจริง จึงเหมาะสำหรับคนไข้บางรายที่กลัวการติดเชื้อ กลัวเข็ม และกลัวเจ็บ

2. เครื่องเลเซอร์ฝังเข็ม จะมีหน้าปัดแสดงค่าตัวเลขให้ทราบถึงการปรับพลังงาน ณ จุดใดๆในร่างกาย จนกระทั่งเกิดความสมดุลขึ้น จึงมีความแม่นยำในการรักษา

3. ใช้แสงเลเซอร์ที่มีพลังงานต่ำ จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วย

4. ใช้เวลารักษาช่วงสั้นๆ ประมาณ 10 วินาที - 2 นาที ขึ้นกับบริเวณและดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา

5. แพทย์ที่ทำการรักษามีความรู้เกี่ยวกับวิธีการฝังเข็ม และเข้าใจถึงการทำงานของจุดฝังเข็มในร่างกายเป็นอย่างดี

การฝังเข็มโดยใช้เลเซอร์ สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ผลดี อาทิ ปวดคอ ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อ ข้อเกร็ง ข้อยึดติด เอ็นอักเสบ อัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพดังกล่าว อย่างไรก็ตาม มีข้อพึงระวังในผู้ที่ตั้งครรภ์ และไม่เหมาะที่จะใช้เลเซอร์ในบริเวณที่เป็นมะเร็ง ติดเชื้อ หรือมีแผล ในกรณีนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา

แม้การฝังเข็มโดยใช้เลเซอร์จะมีความปลอดภัยสูง แต่ผู้ป่วยควรเลือกรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ทั้งก่อนและหลังการรักษาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผลการรักษามีความปลอดภัยสูงสุด

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

คำตอบจากแพทย์


อันตรายของหัดเยอรมัน

Q : ดิฉันอยากทราบว่าโรคที่ไมมีอันตรายร้ายแรงอย่างหัดเยอรมัน ทำไมต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในขณะตั้งครรภ์ ?

A : ปกติหัดเยอรมันเป็นโรคที่ไม่มีอันตราย ส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 3-4 วัน แต่ถ้ามารดามีการติดเชื้อโรคนี้ในระหว่างตั้งครรภ์จะเกิดผลรุนแรงต่อทารกได้นั่นคือ ทารกที่เกิดมาจะมีโอกาสมีความพิการแต่กำเนิด (Congenital Malformation) ได้ครับ

ความพิการที่พบ อาทิ การเป็นต้อกระจกหรือต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการหรือ ผนังหัวใจรั่ว มีผื่นเลือดออก ตับม้ามโต สมองพิการ น้ำหนักตัวน้อย มีการเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ หรืออาจเกิดการแท้งตายหลังคลอด

การป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การฉีดวัคซีนในสตรีก่อนแต่งงานที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อโรคนี้ ซึ่งภายหลังฉีดวัคซีนจะต้องคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือนจึงจะปล่อยให้ตั้งครรภ์ได้ การฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันจะให้ภูมิคุ้มกันได้นานถึง 10 ปีครับ

Approved by : นพ.อำนาจ เตโชวณิชย์








ฝ้า...ต้นเหตุหน้าหมองคล้ำ

Q : ดิฉันมีปัญหากลุ้มใจอยากเรียนปรึกษาคุณหมอดังนี้ค่ะ ดิฉันมีฝ้าขึ้นบริเวณโหนกแก้มสองข้าง อยากทราบวิธีรักษาที่ถูกต้อง ดิฉันไม่กล้าไปซื้อยามาทาเองกลัวผิวหน้าจะเสียค่ะ รบกวนคุณหมอช่วยไขข้อข้องใจให้ดิฉันด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ ?

A : คุณทำถูกต้องแล้วค่ะที่ไม่ซื้อยาที่มีขายในท้องตลาดมารักษาเอง เพราะฝ้าเป็นปัญหาที่ควรได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะด้านผิวหนังเท่านั้น โดยปกติการรักษาฝ้าถ้าจะให้ได้ผล แพทย์จะต้องทราบปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า จากนั้นจึงจะพิจารณายาที่ใช้ ทั้งในแง่ฤทธิ์ของยาที่เหมาะสมกับคนไข้และผลข้างเคียงจากยา เนื่องจากการรักษาฝ้าให้ได้ผลดีนอกจากจะทำให้ฝ้าหายแล้ว ต้องทำให้ผิวหน้าเป็นปกติอยู่เหมือนเดิม โดยไม่เกิดผลข้างเคียงด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม การรักษาฝ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับยาที่ใช้รักษาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากปัจจัยการเกิดฝ้าสัมพันธ์กับแสงแดดอย่างชัดเจน ถ้าเมื่อไรที่เราหลีกเลี่ยงแดดได้ฝ้าก็จะเกิดน้อย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ก็ควรป้องกันไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง เช่น การทาครีมกันแดด กางร่ม หรือใส่หมวก รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยอื่นๆ เช่นการรับประทานยาคุมกำเนิด การใช้เครื่องสำอางบางชนิด เป็นต้น ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้โอกาสที่จะถูกฝ้าเล่นงานให้หงุดหงิดหัวใจก็น้อยลงหรือแทบไม่มีค่ะ



ตื่นมา...ตาก็สวย...ด้วยการทำตา 2 ชั้น




ดวงตาสองชั้นกลมโตมีเสน่ห์ชวนมอง ด้วยเหตุนี้การผ่าตัดทำตาสองชั้นจึงยังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง จริงๆ แล้ว การผ่าตัดทำตาสองชั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่มีตาชั้นเดียวอย่างที่หลายท่านมักเข้าใจกัน คนที่มีหนังตาตก หรือคนที่ไม่พอใจในชั้นตาที่มีอยู่ก็สามารถแก้ไขให้มีตาสองชั้นสวยใส ได้ แถมการผ่าตัดยังไม่ยุ่งยากและปลอดภัย จึงกลายเป็นเรื่องธรรมดาของสาวๆ หนุ่มๆ ยุคนี้ไปเสียแล้ว

แต่ถึงจะเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าคนที่จะทำตาสองชั้นยังต้องวางแผนและเตรียมตัวให้พร้อมก่อนผ่าตัด เริ่มจากปรึกษาและสอบถามข้อมูลจากแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อประกอบการตัดสินใจอีกครั้ง ถ้าแน่ใจแล้วขั้นตอนต่อมาที่สำคัญมากก็คือ แพทย์จะพิจารณาลักษณะของหนังตาเดิมและสอบถามถึงความต้องการของคนไข้ว่าต้องการชั้นตาลักษณะไหน กว้างขึ้นเท่าไร เพราะความต้องการและคาดหวังของคนไข้กับแพทย์อาจไม่ตรงกัน จึงต้องคุยให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน หลังจากนั้นแพทย์จะจัดลักษณะของชั้นตาใหม่หลังผ่าตัดให้คนไข้ดูก่อน (โดยใช้ไม้เล็กๆ คล้ายไม้จิ้มฟันช่วยในการจัด) จนกว่าจะตรงกับความต้องการของคนไข้

จากนั้นแพทย์จะพิจารณาลักษณะของชั้นตาและเปลือกตาของคนไข้ว่ามีลักษณะบางหรือหนา หากมีเปลือกตาหนาจากไขมันสะสมจนทำให้หนังตาตกมาปิดหรือรบกวนการมองเห็น ก็ต้องขจัดไขมันส่วนเกินดังกล่าวออกด้วย

การผ่าตัดทำตาสองชั้นเป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลาไม่นาน หลังการผ่าตัดคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลยโดยไม่ต้องนอนพักที่โรงพยาบาล แต่การใช้สายตาอาจยังไม่สะดวกนัก จึงไม่ควรขับรถมาด้วยตัวเอง นอกจากนั้นควรนำแว่นตากันแดดติดตัวมาด้วย เพื่อใช้อำพรางดวงตาหลังการผ่าตัดและป้องกันฝุ่น

โดยทั่วไป การผ่าตัดทำตาสองชั้น มีด้วยกันสองวิธี วิธีแรกเป็นการผ่าตัดโดยการกรีดชั้นของหนังตา วิธีนี้แพทย์จะใช้มีดผ่าตัดหรือแสงเลเซอร์ กรีดเปิดผิวหนังตาตั้งแต่หัวตาไปจนถึงหางตา ตำแหน่งของรอยกรีดโดยมากจะเป็นตำแหน่งของชั้นตาที่คนไข้ต้องการ อย่างไรก็ตามแพทย์มักนิยมผ่าตัดแบบธรรมดาด้วยมีดผ่าตัดร่วมกับการใช้ปลายเข็มไฟฟ้าที่มีปลายคมมากกว่าครับ ส่วนการกรีดลงบนผิวหนังที่เปลือกตาจะยาวมากน้อยเพียงใดก็แล้วแต่เทคนิคการผ่าตัด รวมทั้งปริมาณผิวหนังและไขมันที่ต้องการเอาออก เมื่อแพทย์เย็บปิดแผลที่กรีดดังกล่าว ก็จะสร้างชั้นหนังตาขึ้นใหม่เป็นตา 2 ชั้นครับ

ส่วนวิธีที่สองคือ การเย็บชั้นโดยไม่ต้องกรีดหนังตา วิธินี้ใช้สำหรับคนที่มีลักษณะเปลือกตาชั้นเดียวที่ไม่มีไขมันมากและหนังตาไม่หย่อนตกลงมากเกินไป เพราะไม่สามารถเอาไขมันและผิวหนังส่วนเกินออกไปด้วยได้ วิธีการก็เพียงแต่เย็บรอยไหมเข้าไปที่เปลือกตา อาจจะเป็นสองจุดหรือสามจุดก็ได้ ข้อด้อยของวิธีนี้ก็คือ มีโอกาสที่ไหมที่ร้อยไว้จะหลุดได้ หรือบางครั้งจะเป็นจุดบุ๋มอยู่ช่วงหนึ่งทำให้ดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ส่วนข้อดีก็คือ มีอาการบวมไม่มากนัก และไม่ต้องคอยระวังเรื่องแผลมากเนื่องจากเป็นจุดเย็บที่เปลือกตาเท่านั้น

โดยปกติการผ่าตัดทำตาสองชั้นจะใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาที ก่อนการผ่าตัดแพทย์อาจจะให้คนไข้รับประทานยาคลายกังวล จากนั้นจึงฉีดยาชาบริเวณหนังตาด้านบนเพื่อไม่ให้คนไข้รู้สึกเจ็บในระหว่างผ่าตัด ต่อจากนั้นแพทย์จะแบ่งชั้นเปลือกตาตามตำแหน่งที่วัดไว้ หรือตามความต้องการและความเหมาะสม หากมีไขมันส่วนเกินที่บริเวณเปลือกตาก็จะตัดไขมันและผิวหนังเปลือกตาที่บริเวณนั้นออกบางส่วน ปกติรอยมีดที่กรีดจะสูงประมาณ 5 มิลลิเมตรหรืออาจมากกว่านั้นหากคนไข้ต้องการชั้นตาหนาใหญ่ จากนั้นจะเย็บกล้ามเนื้อที่ยกเปลือกตา แล้วดึงผิวหนังตาให้พับตัวขึ้นกลายเป็นสองชั้นตามต้องการ

แพทย์จะทำการเย็บบริเวณที่กรีดด้วยไหมเส้นเล็กมากเพื่อให้เห็นรอยเย็บน้อยที่สุด เมื่อแผลหายรอยแผลจะถูกซ่อนอยู่ในชั้นตาที่สร้างขึ้นใหม่ จึงมองไม่เห็นเวลาลืมตาตามปกติ หลังการผ่าตัดคนไข้ต้องนอนพักสังเกตอาการที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้

ภายหลังทำตาสองชั้น ในช่วง 2 วันแรกควรประคบเย็น (บรรจุน้ำแข็งถุงพลาสติกแล้วหุ้มด้วยผ้าขนหนูอีกชั้นหนึ่ง) ที่บริเวณหน้าผากและรอบดวงตาบ่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการบวมและช่วยห้ามเลือดซึม หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงให้เริ่มทายาขี้ผึ้งเคลือบที่บริเวณแผลตรงเปลือกตา รับประทานยาแก้อักเสบและยาลดบวมตามที่แพทย์จัดให้ หากมีอาการปวดก็สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ หลังการผ่าตัด 3 วันจึงค่อยล้างหน้าตามปกติแต่ควรใช้น้ำอุ่นเพื่อจะได้ล้างทำความสะอาดใบหน้าได้ง่ายขึ้น หากต้องการทำความสะอาดแผลบริเวณดวงตา ให้ใช้สำลีก้อนชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ แล้วค่อยทายาครีมหรือขี้ผึ้งยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์จัดให้ ปกติแพทย์จะนัดตัดใหม่ประมาณ 5 - 7 วันหลังผ่าตัดครับ

ในกรณีที่คนไข้ใส่คอนแทคเลนส์อยู่ ควรเปลี่ยนไปสวมแว่นตาแทนในช่วงสัปดาห์แรก หรือจนกว่าจะหายบวม เพราะการดึงเปลือกตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์อาจทำให้แผลผ่าตัดที่เย็บไว้เปิดแยกจากกันได้

โดยทั่วไป อาการบวมจะมีอยู่ประมาณ 3 วันและจะเริ่มยุบบวมในวันทื่ 4 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่สภาวะปกติในสัปดาห์ที่ 4 ทีนี้ก็จะเห็นชั้นดวงตาที่สวยงาม แต่ตัวคนไข้นั้นสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติหลังจากผ่าตัดไปแล้ว 3 วันครับ

สำหรับผลข้างเคียงในการทำตาสองชั้นก็อาจพบได้บ้าง เช่น มีอาการฟกช้ำบวมถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้ในการผ่าตัดทั่วไป แต่ถ้าคนไข้ดูแลอย่างถูกต้อง เพียงแค่ 2 - 3 สัปดาห์ รอยฟกช้ำก็จะหายไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือร่องรอยให้สังเกตได้ ส่วนอีกเรื่องคือ ชั้นตาไม่เท่ากัน โดยทั่วไปหลังการผ่าตัดในระยะแรกอาจจะมีการบวมที่ไม่เท่ากันทำให้ชั้นตาดูต่างกันหรือสูงไม่เท่ากันได้ คนไข้จึงต้องใจเย็นๆ รอจนอาการบวมยุบหายเป็นปกติก่อนจึงจะได้ชั้นตาที่เท่าๆ กันและสวยสมใจ

หลังการทำตาสองชั้น ชั้นตาจะอยู่กับคนไข้ตลอดไป ในทางการแพทย์พบได้ไม่บ่อยนักว่าชั้นของตามีการเลือนหายไป แต่ถ้าเป็นขนาดของชั้นตาเล็กลงล่ะก็มีโอกาสพบได้ครับ เนื่องจากอายุที่มากขึ้น หรือจากความหย่อนยานของผิวหนังเปลือกตา ร่วมกับการหย่อนลงของส่วนอื่นๆ เช่น คิ้ว หน้าผาก เป็นต้น แต่ก็ต้องใช้เวลานานหลายๆ ปี หรือ หลายสิบปีขึ้นไป

คราวนี้คุณก็จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ด้วยตาสองชั้นที่กลมสวย เชื่อว่ายังไงๆ ตาสองชั้นก็ไม่มีวันตกยุคตกสมัย


อำพรางสัดส่วน...เสริมความมั่นใจ



คุณผู้หญิงที่มีรูปร่างไม่สมส่วน ถึงจะสวมใส่เสื้อผ้ายี่ห้อแพงๆ ตัดเย็บอย่างดี ก็ใช่ว่าจะช่วยให้ดูดีขึ้นได้ ในฉบับนี้เรามีเทคนิคการอำพรางรูปร่างในส่วนที่ไม่ต้องการให้เป็นเป้าสายตามาฝากค่ะ

- ลดขนาดต้นแขนด้วยเสื้อแขน 3 ส่วน ถ้าคุณมีต้นแขนใหญ่ การใส่เสื้อแขนกุด โทนสีอ่อน จะยิ่งเน้นให้ต้นแขนดูใหญ่ขึ้น วิธีแก้คือ ให้ใส่เสื้อแขน 3 ส่วน ปกปิดต้นแขนของคุณไว้

- หน้าอกเล็กลงด้วยเสื้อสีเข้ม ผู้หญิงที่มีหน้าอกโตแล้วยังใส่เสื้อหลวมๆ สีอ่อนมีลายยาวเป็นทาง แถมยังใส่กระโปรงสีเข้มอีก สิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไปเน้นความใหญ่ของหน้าอก ที่ถูกต้องควรสวมเสื้อที่มีสีเข้ม ยิ่งเป็นสีดำยิ่งดี เสื้อที่ว่าไม่ต้องมีลายอะไรไม่ว่าลายทางยาวหรือทางขวาง ที่สำคัญต้องเป็นเสื้อที่รัดรูป ใส่คู่กับกระโปรงสีอ่อนๆ ทั้งหมดนี้ช่วยซ่อนรูปและพรางตาให้หน้าอกมีขนาดเล็กลง

- ผู้หญิงที่มีก้นใหญ่ ควรเลี่ยงกางเกงหลวมๆ สีอ่อนๆ ที่จะเน้นความใหญ่ของก้นให้สวมกางเกงรัดรูปสีเข้มๆ หรือ สีดำจะดีกว่า จะพรางตาให้ดูเหมือนว่าก้นคุณไม่ได้ใหญ่โตมาก แต่ถ้าใส่สีเข้มทั้งเสื้อและกางเกงแล้วดูไม่ค่อยสดใส่ก็อาจใส่เสื้อสีโทนร้อนแรง เพื่อเพิ่มสีสันขึ้นก็ได้

- ผู้หญิงที่มีช่วงขายาวและเล็กหรือที่คนทั่วไปเรียกกันว่า "ขาตะเกียบ" มักมีปัญหาเวลาสวมกระโปรงสั้นแค่เข่า ยิ่งถ้ากระโปรงนั้นมีสีดำด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเน้นความเล็กและยาวของขา ทางแก้คือให้หากระโปรงยาวเลยเข่าสีโทนอ่อน เช่น สีขาว สีเทา สีครีมมาใส่ โทนสีอ่อนๆ สามารถอำพรางให้ดูเหมือนว่าคุณมีช่วงขาที่สมส่วน ถ้าได้ใส่เข้าคู่กับรองเท้าบู๊ตยาวประมาณเข่า ก็จะช่วยปิดบังท่อนขาช่วงล่างของคุณทำให้ดูดีขึ้นอีกเป็นกอง

เทคนิคการแต่งตัวเล็กๆ น้อยๆ ที่คนมักมองข้ามเหล่านี้ จะช่วยอำพรางหุ่นที่ไม่สมส่วนของคุณได้ ลองหยิบไปเป็นไอเดียในการแต่งตัวคราวต่อไปดูนะคะ

ระวังโรคตา...คนออฟฟิศ



คนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกัน
วันละหลายๆ ชั่วโมงเสี่ยงต่อการเป็นโรคตา
ที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม
(Computer Vision Syndrome)อาการคือ
ปวดเบ้าตา ปวดต้นคอ มีอาการอ่อนล้าทางประสาทตา
มีภาวะตาแห้ง หรือมีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตาโปนออกมา เป็นต้น
การป้องกันให้ปฏิบัติดังนี้
- ปรับแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะ
- อย่าเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ
- ควรพักสายตาทุก 15 นาที ด้วยการมองออกไปไกลๆ
- ถ้ารู้สึกสายตาอ่อนล้าอย่าขยี้ตาให้นวดคลึงเบาๆ
และบริหารดวงตาเพื่อคลายความตึงเครียด
ด้วยการกลอกตาไปมา-เป็นวงกลมหลายๆ รอบ เป็นต้น
ข้อปฏิบัติง่ายๆ ที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง...ทำให้เคยชินเพื่อดวงตาของคุณค่ะ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

4 สเต็ปคืนความสดชื่น




ท่านผู้อ่านที่คร่ำเคร่งกับงานเสียจนดวงตาเริ่มอ่อนล้า ไร้แววสดใส แถมใบหน้าก็หมองคล้ำ ไร้เลือดฝาด เรามาลองพักงานสัก 5 นาที มาฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วย 4 สเต็ปการนวดนี้

1. รวบผมหรือใส่ที่คาดผมเพื่อเปิดหน้าผาก ล้างมือให้สะอาด จากนั้นยืนหน้ากระจกเพื่อให้เห็นตำแหน่งในการนวดชัดเจน หายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง แล้ววางนิ้วทั้งสี่ของมือขวาอีกครั้ง (ยกเว้นนิ้วโป้ง) ไว้บนหน้าผาก ให้นิ้วก้อยอยู่ระดับคิ้ว นิ้วทั้งสี่ของมือซ้ายวางต่อขึ้นไป จากนั้นค่อยๆ กดน้ำหนักที่ปลายนิ้วแล้วนวดไล่ขึ้นไปตรงๆ นวดสลับมือซ้ายและขวา 20 ครั้ง

2. วางปลายนิ้วทั้งสี่ (ยกเว้นนิ้วโป้ง) ของมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าผาก โดยให้นิ้วก้อยอยู่ระดับคิ้ว นิ้วชี้อยู่ระดับไรผม จากนั้นกดน้ำหนักลงที่ปลายนิ้วแล้วค่อยๆ ลากมือทั้งสองออกด้านข้างจนถึงขมับ โดยให้ลากช้าๆ เน้นการลงน้ำหนักไปบนผิวหนังตลอดการลากมือ ทำซ้ำแบบเดิม 20 ครั้ง

3. วางนิ้วชี้และนิ้วกลางของมือซ้ายลงบนหน้าผากโดยให้นิ้วทั้งสองห่างกันเล็กน้อย ส่วนมือขวาให้ใช้นิ้วกลางเพียงนิ้วเดียววางไว้ที่กึ่งกลางหน้าผาก จากนั้นกดน้ำหนักลงที่ปลายนิ้วแล้วค่อยๆ ลากนิ้วทั้งสามจากกึ่งกลางหน้าผากออกไปด้านข้างจนถึงขมับแล้วดันนิ้วกลับมายังกึ่งกลางหน้าผากดังเดิม ทำสลับเช่นนี้ 20 ครั้ง

4. วางนิ้วกลางและนิ้วนางมือขวาลงบนหว่างคิ้ว หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหัวไหล่และแผ่นหลัง แล้วเริ่มวนนิ้วทั้งสองเป็นวงกลม วนไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ในแนวตรงจนถึงไรผมแล้วไล่กลับมายังหว่างคิ้ว ทำสลับเช่นนี้ 20 ครั้ง

เพียง 5 นาที กับ 4 สเต็ปการนวด ก็จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ดวงตากลับมาสดใส ใบหน้าสดชื่นสมองกลับมามีพลัง พร้อมลุยงานต่อแล้ว